【บทสัมภาษณ์】ซูซูกิ ฮิโรกิ, อารามากิ โยชิฮิโกะ และอุเมะสึ มึซึกิ พูดคุยเกี่ยวกับความไว้เนื้อเชื่อใจที่บ่มเพาะผ่าน “ดาบ” ใน “Touken Ranbu The Movie – Reimei -” 

ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคมเป็นต้นไป “Touken Ranbu The Movie – Reimei -”  ในที่สุดก็ได้เข้าฉายในโรงภาพยนต์แล้ว! เราได้สัมภาษณ์ ซูซูกิ ฮิโรกิ ผู้รับบทเป็น มิคาสึกิ มุเนะจิกะ, อารามากิ โยชิฮิโกะ ผู้รับบทเป็น ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ และอุเมะสึ มึซึกิ ผู้รับบทเป็น ยามัมบะกิริ โจกิ ถึงความมุ่งมั่นในการแสดง รวมทั้งเรื่องราวเบื้องหลังระหว่างการถ่ายทำ และอื่นๆอีกมากมาย

■ “รออยู่นานแล้ว!” ภาพยนตร์ภาค 2 ที่แม้แต่นักแสดงยังรอคอย
——————————————————————————————————————

―― ช่วยบอกความรู้สึกตอนที่ทราบว่ามีการสร้างภาคต่อ และจะได้เล่นใน Touken Ranbu The Movie – Reimei -” หน่อยครับ

อารามากิ :   ผมมีความรู้สึกว่า “รออยู่นานแล้ว!” อย่างแรงกล้ามากเลยล่ะครับ เพราะภาคที่แล้วเราได้รับเสียงตอบรับที่ดี ก็เลยคิดมาตลอดเลยล่ะว่า “เมื่อไหร่จะมีภาคสองนะ” “ฉันเตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อเลยนะ!” น่ะครับ

ซูซูกิ : ตัวผมเคยคุยกับทุกคนในทีมสร้างภาพยนตร์ว่า “ถ้าทำภาคต่อได้ก็คงดีนะ” เหมือนกันครับ พอเป็นความจริงขึ้นมาผมก็รู้สึกดีใจมาก รู้สึกคุ้มค่าที่เชื่อมั่นและรอคอยมาตลอด

อุเมะสึ : ผมเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ครับ ผมเคยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ยามัมบะกิริ โจกิในภาพยนตร์จะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมด้วย มันก็เลยมีความคิดที่ว่า “ดีแล้วเหรอที่เป็นผม” ด้วยเหมือนกันครับ

ซูซูกิ : เรื่องนั้น ฉันคิดว่าแฟน ๆ ทุกคนก็น่าจะตั้งตารอคอยกันอยู่เหมือนกันนะ ฉันเองก็ดีใจที่ในที่สุดก็ได้แสดงกับอุเมะสึซังในซีรี่ส์ “Touken Ranbu” สักที

อุเมะสึ : ผมเองก็เช่นกันครับ!

――ทั้ง 3 คนพอได้ร่วมงานกันแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ?

อุเมะสึ : ดีใจที่ตัวเองก็ได้อยู่ในที่ที่มียามัมบะกิริ คุนิฮิโระกับมิคาสึกิ มุเนะจิกะอยู่เหมือนกันครับ รู้สึกว่านานแล้วด้วยที่ไม่ได้ประดาบกับมักกี้ซัง อีกทั้งผมเคยดูการต่อสู้ด้วยดาบของซูซูกิซังในวิดีโอด้วย ประทับใจมากเลยล่ะครับ รู้สึกแบบว่า “นี่คือมิคาสึกิตัวจริงสินะ!” 

ซูซูกิ : ผมได้ยินจากคนรอบข้างว่าอุเมะซึซังเป็นคนที่แสดงได้ละเอียดอ่อนมาก ต้องยอมรับว่าเป็นจริงตามนั้นเลยครับ ในระหว่างการถ่ายทำซีนที่มีการสนทนาเป็นหลัก พอได้สัมผัสกับการแสดงของอุเมะซึซัง และบทบาทของยามัมบะกิริ โจกิในระยะใกล้แล้ว ผมรู้สึกประทับใจมากเลย

อารามากิ : ตัวผมเองก็รู้สึกว่าถ่ายทำออกมาได้ไม่ยากครับ เพราะเคยร่วมงานกับทั้งสองคนมาแล้ว ต้องขอบคุณสมาชิกทีมนี้ครับที่ทำให้สามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพออกมาได้ แม้ว่าเราจะมีเวลาในการฝึกการต่อสู้ด้วยดาบแค่แป๊บเดียวก็ตาม 

อุเมะสึ : เรามีเวลาฝึกซ้อมประมาณ 2 วันเองจริงๆครับ แต่ผมมีความเชื่อใจพวกเขาทั้งสองคน ก็เลยรู้สึกแบบว่า ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวแบบไหน เดี๋ยวทั้งสองคนก็คงทำอะไรสักอย่างให้เองแหล่ะ (หัวเราะ)

――ภาพในหัวตอนอ่านบทเป็นอย่างไรครับ?

อารามากิ : ผมรู้สึกตกใจว่า “มีการออกทัพไปยุคปัจจุบันด้วย!” แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีส่วนที่ทำให้ยอมรับได้ครับ เพราะถ้ามองจากปีค.ศ. 2205 ที่ฮงมารุของ “Touken Ranbu” ตั้งอยู่ ปีค.ศ. 2012 ก็ถือว่าเป็นอดีต ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เหล่าโทวเคนดันชิต้องปกป้องครับ

ซูซูกิ : ผมจินตนาการเรื่องการออกทัพไปยุคปัจจุบันอยู่ตลอด ก็เลยตั้งตารอคอยมากเลยล่ะครับ ระยะเวลา 8 ปีนับตั้งแต่ตัวเกมได้เปิดตัวขึ้น ผมรู้สึกว่าเราสามารถรับความท้าทายใหม่ๆโดยอาศัยพื้นฐานจากเซ็ตติ้งต่างๆที่ได้สั่งสมมาจนถึงตอนนี้ได้แล้วครับ

อุเมะสึ : ผมเองก็จินตนาการถึงเรื่องการออกทัพไปยุคปัจจุบันอยู่หลายครั้งเหมือนกันครับ ดังนั้นจึงรู้สึกว่า “ในที่สุดก็เขียนเรื่องราวของยุคนี้แล้วสินะ!”

อารามากิ : ตอนอ่านบทผมคิดว่า ที่ผมถูกคนคนสองคนปั่นหัวในงานแสดงเรื่องที่ผ่านๆมานั้น “ครั้งนี้ คนสองคนที่เคยปั่นหัวผมกำลังโดนผมปั่นหัวบ้างแล้ว” น่ะครับ (หัวเราะ)

■ ความหวาดเสียวของซีนประดาบ คือการระวังไม่ให้ฟันโดนตากล้อง!?
——————————————————————————————————————

――หนึ่งในไฮไลท์ของเรื่องนี้คือซีนต่อสู้ด้วยดาบ มีจุดที่ต้องคำนึงถึงเสมอในการต่อสู้ด้วยดาบไหมครับ 

อารามากิ : ก็เป็นเรื่องทั่วไปที่ทุกคนต่างรู้กันอยู่แล้วนะครับ นั่นคือการคำนึงถึงเรื่อง “การจัดการกับคมดาบ” ครับ อย่างเช่นว่า ตอนประดาบบนเวที ผมจะคำนึงถึงว่าต้องระวังไม่ให้ตีไปโดนอีกฝ่าย แต่ในภาพยนตร์ เราจำเป็นต้องเหวี่ยงดาบโดยคำนึงว่าเราจะฟันคู่ต่อสู้ครับ การแสดงออกมันสามารถเปลี่ยนไปด้วยแค่ความรู้สึกเดียวได้เลย ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมจำใส่ใจและระมัดระวังอยู่เสมอครับ 

ซูซูกิ : ยิ่งไปกว่านั้น เราต้องเล่นซีนต่อสู้ในระยะประชิดเพื่อให้อยู่ในมุมการรับภาพของกล้องด้วยครับ นั่นทำให้เราถ่ายทำกันได้อย่างสนุกสนานพร้อมกับตื่นเต้นไปด้วย แต่ผมก็รู้สึกว่าเราสามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ พร้อมกับใช้ประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ได้แล้วครับ

อุเมะสึ : ถ้าพูดถึงเรื่องหวาดเสียว ก็คือเรื่องที่ต้องระวังไม่ให้ฟันโดนตากล้องล่ะนะ

ซูซูกิ : ใช่เลย!

อารามากิ : หรืออย่างตอนเหวี่ยงดาบก็ต้องระวังไม่ให้โดนกล้องด้วย

อุเมะสึ : ไม่เพียงแต่นึกถึงคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่เรายังต้องนึกถึงตากล้องที่อยู่ในจุดบอดด้วยครับ มันก็เลยทำให้เล่นซีนต่อสู้ไปด้วย หวาดเสียวไปด้วยครับ

――มีความลำบากอะไรระหว่างการถ่ายทำอีกไหมครับ? 

อารามากิ : ซีนห้าแยกชิบูย่าค่อนข้างลำบากอยู่เนอะ? มีนักแสดงตัวประกอบประมาณ 600 คนเลย

ซูซูกิ : เป็นการถ่ายทำนอกสถานที่ที่ยาวนาน แล้วก็เป็นวันที่อากาศร้อนและมีแดดจัดพอดีครับ มีนักแสดงตัวประกอบจำนวนมากมาเข้าร่วมการถ่ายทำ แล้วก็ยังมีเสียงปรบมือทุกครั้งที่ถ่ายแต่ละซีนจบด้วยครับ นับว่านี่เป็นผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกคนจริงๆ อยากขอบคุณมากครับ

อุเมะสึ : ซีนต่อสู้ตรงโถงทางเดินของอพาร์ทเมนท์ก็ดูท่าจะลำบากน่าดูเลยนะครับ ผมยังคิดอยู่ว่าแบบ “มันไม่แคบไปเหรอ”

อารามากิ : ค่อนข้างแคบเลยล่ะ! ฉันไม่อยากต่อสู้ในสถานที่แบบนั้นเลย (หัวเราะ)

ซูซูกิ : เป็นที่ที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้เลยล่ะ

อุเมะสึ : แต่ผมกลับคิดว่า การที่สามารถถ่ายทำซีนต่อสู้ด้วยดาบออกมาได้อย่างมีเสน่ห์แม้จะอยู่ในพื้นที่แคบๆเนี่ย  มันเป็นความพิเศษที่มีเฉพาะในภาพยนตร์เท่านั้นที่ทำออกมาได้จริงๆนะครับ

อารามากิ : ถึงจะบอกว่าแกว่งดาบกว้างๆไม่ได้ก็ตาม แต่เราก็ไม่อยากให้ภาพที่ถ่ายออกมาดูเล็กๆแคบๆ ก็เลยค่อนข้างยากในการหาสมดุลนั้นน่ะครับ 

ซูซูกิ : ผมเองก็คำนึงถึงเรื่องนั้น แลยจงใจแกว่งดาบเพื่อให้การเคลื่อนไหวดูกว้างด้วยเหมือนกันครับ

――ได้ไปปรากฎในสถานที่ต่างๆในยุคปัจจุบันด้วยใช่มั้ยครับ

อารามากิ : พวกเราถ่ายทำกันในตัวเมืองด้วยครับ จำได้ว่าตอนถ่ายทำหรือตอนที่เปลี่ยนโลเคชั่น มีสายตามองมาที่พวกเราอย่างสงสัยประมาณว่า “นั่นคืออะไรน่ะ” ด้วย โดยเฉพาะกับยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ ทุกคนอาจจะสงสัยว่า “ทำไมคนๆนั้นถึงได้คลุมผ้าเอาไว้กันนะ” ก็ได้ครับ (หัวเราะ) ผมว่าถ้าได้มารับชมภาพยนต์ ก็จะเข้าใจได้เองว่า “นั่นคือโทวเคนดันชิเล่มนั้นเองเหรอ!” ผมจึงอยากให้หลายๆ คนได้ไปชมกันให้ได้ครับ

ซูซูกิ : การถ่ายทำที่โรงเรียนก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกันครับ ระหว่างที่ถ่ายทำก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่นอกเหนือจากตอนถ่ายทำนี่ผมไม่รู้เลยครับว่าต้องทำตัวยังไงดี (หัวเราะ) รู้สึกเหมือนจะโดนคิดว่า ในหมู่พวกนักแสดงวัยรุ่นที่รับบทเป็นนักเรียนม.ปลาย “มีคนนึงที่แต่งตัวแตกต่างจากคนอื่นโดดๆเลยด้วยล่ะ” น่ะครับ

■ ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ “เลือนหายไปอย่างเปราะบางไม่จีรัง”?
——————————————————————————————————————

――ผู้กำกับให้คำแนะนำอะไรระหว่างการถ่ายทำบ้างครับ? 

อารามากิ : ในตัวอย่าง มีซีนนึงที่ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเลือนหายไป แน่นอนว่าตัวผมไม่ได้มีพลังวิเศษที่จะหายตัวไปได้เอง  (หัวเราะ) ก็เลยถ่ายทำไปก่อนโดยมีการเพิ่ม CG เข้าไปในภายหลังครับ แต่ก็ยังมีตัวเลือกมากมายว่าจะหายไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน ตอนแรกผมถ่ายทำด้วยการตีความว่าเป็นการหายไปที่ดูท่าทางเจ็บปวด เพราะซีนนั้นมันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้กำกับบอกว่า “ช่วยทำให้ดูไร้แก่นสารกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม?” วินาทีนั้นผมก็แบบ “หายไปแบบไร้แก่นสารมันต้องแสดงออกมายังไงล่ะเนี่ย!” แต่ท้ายที่สุดก็สามารถแสดงอารมณ์ไร้แก่นสารในแบบของตัวเองออกมาได้ครับ เป็นอิมเมจที่ไม่มีความเจ็บปวด แค่เพียงหายไปเฉยๆ

ซูซูกิ : ผม ผู้กำกับ และคุณชิโอริ อาคิตะที่รับบทโคโตเนะ พวกเราสามคนได้หารือแลกเปลี่ยนและตัดสินใจกันว่าจะรับมือกับความกังวลและความรู้สึกของโคโตเนะที่เป็นนายท่านชั่วคราวอย่างไรครับ มันทำให้ผมรู้สึกประทับใจเพราะมันหมายความว่าพวกเราค่อยๆสนิทกันมากขึ้นครับ

อุเมะสึ : ผมเองก็มีบางซีนที่ได้เสียงที่ผู้กำกับแสดงออกมาเอามาใช้อ้างอิงในการแสดงครับ และเพราะเป็นเสียงที่ฟังดูเจ็บปวดตรงกันข้ามกับการแสดงความไร้แก่นสารของยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ ผมก็เลยแสดงโดยถ่ายทอดความเจ็บปวดออกมาครับ ก็มีประมาณนี้ที่พวกเราได้รับคำแนะนำทิศทางที่ชัดเจนในการแสดง โดยปกติแล้วพวกเขาจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราครับ 

――ไม่ทราบว่าเลเวลของโทวเคนดันชิที่ตนเองแสดงในแต่ละเรื่อง มีการตีความและแสดงออกมาอย่างไรครับ?

อารามากิ : ในครั้งนี้ผมไม่ได้คำนึงเรื่องเลเวลถึงขนาดนั้นครับ ผมคำนึงถึงความรู้สึกที่ตัวยามัมบะกิริ คุนิฮิโระมีต่อนายท่านมากกว่า

ซูซูกิ : ผมคิดว่าเลเวลของมิคาสึกิ มุเนะจิกะมีความผันผววนอย่างมากครับ  ถึงแม้จะคุ้นเคยกับการออกรบแล้วก็ตาม แต่ก็มีบางซีนที่เลเวลกลับกลายมาเป็นหนึ่ง หรือแม้แต่ติดลบไปเลยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น ดังนั้น ผมจึงปรับการแสดงไปตามความผันผวนนั้น

อุเมะสึ : ยามัมบะกิริ โจกิออกทัพภายใต้อำนาจของ “รัฐบาลกาลเวลา” ผมจึงตีความว่าเขาค่อนข้างมีฝีมือครับ อิมเมจในหัวคือเขาจัดการงานมากมายมาจนถึงตอนนี้ และในครั้งนี้ก็บังเอิญได้รับคำสั่งให้ไปยังยุคปัจจุบันครับ

อารามากิ : แถมยังห้อมล้อมไปด้วยผู้คนใส่ชุดสูทในห้องประชุมด้วย รู้สึกเหมือนเป็นคนใหญ่คนโตเลยล่ะ

อุเมะสึ : ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ได้นั่งบนเก้าอี้หรูๆแบบนั้นนะ (หัวเราะ)  แต่คิดว่าคงนั่งไม่สบายแน่ๆ เพราะมีซีนที่พอคิดจะนั่งลงแล้วต้องลุกทันทีเลยเหมือนกันน่ะครับ

ซูซูกิ : ความแตกต่างระหว่างยามัมบะกิริ โจกิกับนายท่านชั่วคราวเนี่ยไม่เลวเลยนะ

อารามากิ : เหมือนข้าราชการที่ไม่เอาไหน กับข้าราชการฝีมือดีก้าวข้ามเวลามาเจอกันเลย

อุเมะสึ : ถึงนายท่านชั่วคราวจะเอาแต่ชงชาอยู่ตลอดก็เถอะ (หัวเราะ) 

ซูซูกิ : จริงอยู่ที่สถานการณ์ที่โทวเคนดันชิแต่ละเล่มมีนายท่านชั่วคราวนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ แต่พอลองจินตนาการว่า ก่อนหน้านั้น โทวเคนดันชิกับนายท่านชั่วคราวต้องมีช่วงแนะนำตัวเองให้ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันแน่ๆ ซึ่งเป็นซีนที่ไม่ได้มีอยู่ในหนัง มันก็รู้สึกว่าน่าสนุกเหมือนกันนะ

อุเมะสึ : ช่วงแนะนำตัวเองเหรอครับ (หัวเราะ) นายท่านชั่วคราวต่างก็มีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกที่แตกต่างกันไป มีตั้งแต่นักบวชไปจนถึงสาวแกลเลย  ดังนั้น จะบอกว่าไม่มีความรู้สึกขัดแย้งเลยก็ไม่ใช่ เรียกได้ว่าถึงแม้มีโทวเคนดันชิอยู่ที่สถานที่แห่งนั้น แต่ก็ดูกลมกลืนเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด และก็น่าสนใจมากกว่าครับ

■ “เป็นห่วงว่านายท่านชั่วคราวจะถูกไล่ออกรึเปล่า”
——————————————————————————————————————

――นายท่านชั่วคราวที่มีบุคลิกแตกต่างกันไปปรากฎตัวขึ้นมา มีอะไรที่ตนเอง (ไม่ใช่ในบท) อยากบอกนายท่านชั่วคราวไหมครับ?

อารามากิ : ผมบอกมากไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะเป็นการสปอยไป คงเป็น “จงมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง” ครับ

ซูซูกิ : อยากบอกว่า “ดีใจที่ได้พบกัน” ครับ ผมคิดว่าตัวโคโตเนะเองก็กลายเป็นคนที่คิดบวกได้จากการพบมิคาสึกิ มุเนะจิกะเช่นกัน

อุเมะสึ : ผมเป็นห่วงว่านายท่านชั่วคราวจะโดนไล่ออกมั้ยน่ะครับ

อารามากิ : เขาอาจจะได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ต่อเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นครั้งนี้ก็ได้นะ? 

อุเมะสึ : ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดีนะครับ (หัวเราะ) 

――สมมติว่าถ้าจะส่งโทวเคนดันชิที่ตนเองแสดงไปออกรบในยุคปัจจุบัน คุณอยากให้เขาทำเรื่องอะไรครับ?

อุเมะสึ : เป็นคนขับรถครับ (หัวเราะ) อยากให้ขับรถให้ แล้วพาไปจนถึงที่ทำงานเลย

อารามากิ : ผมอยากให้มาเล่นเกมด้วยกัน แล้วจะทำให้แพ้แบบราบคาบเลยครับ (หัวเราะ)

ซูซูกิ : ผมอยากให้มิคาสึกิ มุเนะจิกะคอยบริการลูกค้าครับ จะเป็นร้านค้าแบบไหนก็ได้ ถึงจะเป็นเรื่องที่ดูเหลือเชื่อ แต่ก็คิดว่าน่าสนใจดีครับ

อารามากิ : แบบนั้นผมคิดว่าต่อให้สั่งเขาว่า “ก็บอกแล้วไงว่าแบบนี้!” ก็น่าจะโดนมิคาสึกิตอบกลับมาว่า “ฮ่ะฮ่ะฮ่า” แน่เลย เพราะถึงเป็นงานบริการเขาก็เป็นพวกชอบทำตามใจตัวเองอยู่ดี (หัวเราะ)

■ “พูดคุยผ่านคมดาบ” —-ความไว้เนื้อเชื่อใจตามแบบฉบับโทวเคนดันชิ
——————————————————————————————————————

――ในตัวอย่างครั้งนี้ปรากฎซีนที่เหมือนกับมิคาสึกิ มุเนะจิกะกับยามัมบะกิริ คุนิฮิโระจะเป็นศัตรูกันด้วย ในฐานะ มิคาสึกิ มุเนะจิกะแล้ว ซูซูกิซังทำการแสดงด้วยความรู้สึกที่มีต่อยามัมบะกิริ คุนิฮิโระอย่างไรครับ?

ซูซูกิ : ผมคิดว่าถ้าเราสามารถสร้างความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างคนสองคนซึ่งมีความพิเศษที่มีเฉพาะในภาพยนตร์ชิ้นนี้ออกมาได้คงจะดีไม่น้อยเลยครับ แม้ว่าจะไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน แต่ในฐานะเพื่อนพ้องในฮงมารุเดียวกัน มิคาสึกิ มุเนะจิกะก็ให้ความสำคัญกับยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเป็นอย่างดี ในซีนที่ทั้งสองเจอกันโดยบังเอิญและประดาบกันนั้นมันมีความตึงเครียดอยู่ก็จริง แต่สำหรับมิคาสึกิ มุเนะจิกะแล้ว เขาอาจจะดีใจอยู่เล็กน้อยก็ได้ครับ เพราะเขาได้สัมผัสถึงฝีมือดาบของสหายที่ไว้ใจและพึ่งพาได้ ผมคิดว่าการพูดคุยผ่านคมดาบ เป็นความสัมพันธ์แบบไว้เนื้อเชื่อใจกันซึ่งเป็นความพิเศษที่มีเฉพาะในโทวเคนดันชิเท่านั้นครับ

――การเจอกันของยามัมบะกิริ โจกิ และยามัมบะกิริ คุนิฮิโระซึ่งเป็นของเลียนแบบเป็นที่จับตามองอย่างมาก ไม่ทราบว่าในการแสดง ทั้งสองคำนึงถึงตัวตนของอีกฝ่ายอย่างไรครับ

อุเมะสึ : สถานะของยามัมบะกิริ โจกิคือดาบที่ถูกรัฐบาลกาลเวลาส่งไปประจำการ ดังนั้น ไม่ว่ายังไง เป้าหมายอย่างแรกของเขาก็คืองานครับ และในระหว่างนั้นเขาก็ได้เผชิญหน้ากับยามัมบะกิริ คุนิฮิโระที่อยู่คนละฮงมารุต่างกับสังกัดของตัวเอง ผมจึงแสดงโดยคิดว่า “ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับยามัมบะกิริ คุนิฮิโระในฐานะมืออาชีพ” ครับ

อันที่จริง ผมเล่นบทยามัมบะกิริ โจกิในบุไตในช่วงเวลาเดียวกันกับตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์ครับ ก็เลยไม่ได้มีการสร้างบทบาทอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ นอกเหนือจากการมีเบสพื้นฐานที่เคยใช้ชีวิตมาในฐานะยามัมบะกิริ โจกิมาตลอดแล้ว ผมยังคำนึงถึงสถานะที่ยามัมบะกิริ โจกิถูกวางเอาไว้ในเรื่องด้วยครับ ผมถ่ายทำด้วยความคิดที่รอบคอบอย่างเช่นว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ต่อจากนี้ความสัมพันธ์กับใครจะเป็นแบบไหนครับ

อารามากิ : ในครั้งนี้จุดยืนของยามัมบะกิริ คุนิฮิโระมีความยาก ทั้งยังต้องแสดงท่าทีเป็นศัตรูกับฮงมารุที่เคยอยู่ ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นยามัมบะกิริ โจกิ ก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาออกมารุนแรงมาก นอกจากส่วนที่ตอบสนองออกมาเหมือนเป็นสัญชาติญาณครับ

เพียงแต่ โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ได้เข้าร่วมในซีนถ่ายทำของยามัมบะกิริ โจกิด้วย เลยมีบางครั้งที่รู้สึกอิจฉา ตอนที่เห็นท่าทางของยามัมบะกิริ โจกิที่มีผู้คนที่ดูท่าทางเป็นคนใหญ่คนโตโค้งคำนับให้ในห้องประชุมแล้ว ผมเองก็อยากจะลองอยู่ในตำแหน่งนั้นบ้าง (หัวเราะ)

■ อยากให้สนุกสนานกับ “Touken Ranbu” โดยมีภาพยนตร์เป็นทางเข้า
——————————————————————————————————————

――เป็นผลงานที่มีเรื่องราวที่มากมายจริงๆเลยนะครับ ถ้าให้สื่อออกมาในประโยคเดียว ประโยคนั้นคืออะไรครับ?

อารามากิ : ความเป็นไปได้ของมนุษย์ ละมั้งครับ

ซูซูกิ : ทุกคนคือซานิวะ ครับ

อุเมะสึ : การเริ่มต้นครับ ตอนแรกผมก็สงสัยว่า “รุ่งอรุณ” ในชื่อเรื่องของภาคนี้จะสื่อถึงอะไร แต่พอได้ชมผลงานแล้ว ผมก็รู้สึกกระจ่างเลยล่ะครับ

――สุดท้ายนี้ ช่วยบอกไฮไลท์สำคัญ และฝากข้อความถึงผู้อ่านหน่อยครับ

อารามากิ : คนที่ไม่รู้จักผลงานที่ชื่อว่า “Touken Ranbu” อาจจะมีจำนวนน้อยลงแล้ว แต่ผมคิดว่ายังมีหลายคนที่ยังไม่เคยดูตัวภาพยนตร์นี้อยู่อีกมากเลยครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความคุ้มค่าในการรับชมในฐานะความบันเทิงแนวแอ็กชัน ดังนั้น ผมจะรู้สึกดีใจมากๆเลยครับหากหลายๆท่านจะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นประตูเข้าสู่โลก “Touken Ranbu” นี้ และหลังจากรับชมแล้วก็อย่าลืมไปตรวจสอบข้อมูลความสัมพันธ์ หรือเรื่องอื่นๆที่ตนเองสนใจนะครับ อย่างเช่นว่า ทำไมถึงมียามัมบะกิริสองคน หรือทำไมยามัมบะกิริ คุนิฮิโระถึงถูกเรียกว่า “นิเสะโมโนะคุง” เป็นต้น

ส่วนไฮไลท์คือคำว่า “ไฮ้!” ของมิคาสึกิ มุเนะจิกะครับ ต้องมีเสียงหัวเราะดังขึ้นในโรงภาพยนตร์แน่นอนเลย

ซูซูกิ : “Touken Ranbu” ที่สร้างขึ้นมาจากภูมิหลังของประวัติศาตร์ ในที่สุดก็ได้มาเยือนยังยุคสมัยปัจจุบันที่ใกล้ตัวทุกคนแล้วครับ ผมอยากให้ทุกคนได้รับมัน รวมไปถึงประวัติศาตร์ที่ “Touken Ranbu” ได้ถักทอขึ้นมาเป็นระยะเวลา 8 ปีด้วยเช่นกัน นี่เป็นผลงานที่มีเนื้อหาเหมือนงานเทศกาล อีกทั้งไม่ว่าใครก็เข้าร่วมได้ง่ายดาย ผมจึงอยากให้ผู้คนหลากหลายกลุ่มได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินกันครับ

ไฮไลท์คือซีนในพิพิธภัณฑ์ครับ เพราะจะได้พบกับมิคาสึกิ มุเนะจิกะในยุคปัจจุบันด้วย ตั้งตารอชมกันได้เลยนะครับ สวยมากเลยล่ะครับ!

อุเมะสึ : ความพิเศษของผลงานนี้อยู่ตรงนี้ทำยุคสมัยปัจจุบันให้เป็นเวทีแสดงครับ ผมรู้สึกว่าทางอฟช.ได้ตอบสนองเรื่องที่พวกเราต้องการมาตลอดแล้ว ดังนั้นก็อยากให้สนุกสนานกันครับ นี่เป็นภาพยนตร์ที่มีสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ตระการตา ดังนั้น ผมคิดว่าแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก “Touken Ranbu” ก็สามารถเข้าถึงในฐานะที่เป็นหนังแอคชั่นได้เช่นกันครับ

ส่วนไฮไลท์ก็คือซีนสกายทรีครับ เพราะเป็นการเปิดฉากที่ละสายตาไม่ได้จนถึงท้ายที่สุดเลย เพราะฉะนั้น ไปรับชมกันให้ได้เลยนะครับ

◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆◆

(C)2023 「映画刀剣乱舞」製作委員会/NITRO PLUS・EXNOA LLC
sorce [X]

โพสท์ใน Uncategorized | ติดป้ายกำกับ , , | ใส่ความเห็น