มาจะกล่าวบทไป…ถึงเรื่องราวของ “มูฟวี่ส์ดาบ -ภาคสืบทอด-” ฉบับจัดเต็มคาราเบล

TOUKEN RANBU THE MOVIE
– KEISHOU –

อ่านก่อนสักนิด
🌸 เขียนเพราะ เนื่องจากภาคใหม่กำลังจะเข้าฉายแล้ว เลยอยากจะรื้อฟื้นภาคก่อนหน้าสักหน่อย
🌸 เนื้อหาส่วนใหญ่แปลและเรียบเรียงมาจากหนังสือบทภาพยนต์ของอฟช.
🌸 หากผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
🌸 สุดท้ายนี้….อย่าลืมสนับสนุน Blu-ray หรือ DVD ที่วางจำหน่ายไปแล้วด้วยนะ ♥

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

เอาล่ะ โทวเคนรันบุ ฮาจิเมโย่ว….!!

vlcsnap-2019-06-22-16h37m44s6

       ด้วยสรรพสิ่งเล่าขาน จึงก่อสานเกิดเป็นเรื่องราว
       นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราว ที่จะกลายเป็นตำนานครั้งใหม่
       ของเหล่าโทวเคนดันชิ ณ ฮงมารุแห่งหนึ่ง

       ค่ำคืนวันที่ 21 มิถุนายน 1582
       ฮอนโนจิ เกียวโต

       เสียงตะโกนโห่ร้องโหวกเหวกโวยวายของผู้คน รวมทั้งเสียงคมดาบปะทะกันสลับกับเสียงปืนดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ปลุกให้โอดะ โนบุนากะตื่นขึ้นมากลางดึก เขาลุกขึ้นเปิดประตูและกวาดสายตามองรอบๆ ก็พบว่าฮอนโนจิที่เคยเงียบสงบ บัดนี้กลับโกลาหล และเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

       “นายท่าน!” โมริ รันมารุ บ่าวคนสนิทวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นนายด้วยท่าทางร้อนรน

       “เกิดอะไรขึ้น!?” 

       “อาเคจิ มิทสึฮิเดะ….ก่อการกบฎขอรับ!”

       โอดะ โนบุนากะเบิกตากว้าง สายตาจ้องเขม็งไปยังต้นทางเสียงที่กำลังดังเซ็งแซ่ลั่นไปทั่วทั้งฮอนโนจิ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ปีคริสต์ศักราช 2250
       ผู้แก้ไขประวัติศาสตร์ที่มีเป้าหมายจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้เริ่มทำการโจมตีประวัติศาตร์ขึ้น เพื่อยับยั้งการนั้น…รัฐบาลเวลาจึงมีคำสั่งให้ผู้เป็นซานิวะทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องประวัติศาสตร์
      “ซานิวะ” คือ ผู้มีพลังพิเศษที่สามารถปลุกจิตวิญญาณสิ่งของที่หลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้นได้
       และ——-
       สามารถปลุกศาตรา(ดาบ)ที่เมื่อครั้งหนึ่งถูกสร้างด้วยพลังและจิตวิญญาณของมนุษย์ขึ้นมาในร่างกายมนุษย์เพื่อทำการปกป้องประวัติศาสตร์ และต่อสู้กับเหล่ากองทัพข้ามเวลาที่ถูกส่งมาโดยผู้แก้ไขประวัติศาสตร์
       นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวจากเหล่าผองผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากดาบ หรือที่เรียกว่า “โทวเคนดันชิ”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ “ฮงมารุ” สถานที่ที่ซานิวะ และเหล่าโทวเคนดันชิอาศัยอยู่

       ฮงมารุแห่งนี้มีตัวบ้านแบบญี่ปุ่นตั้งเรียงรายอยู่มากมาย บริเวณรอบๆมีพื้นที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ทุ่งหญ้าป่าเขาเขียวขจี และหากมองลงมาจากเบื้องบน จะพบว่าทั่วทั้งบริเวณของฮงมารุแห่งนี้ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยเขตม่านพลังศักดิ์สิทธิ์สีโปร่งใสรูปร่างคล้ายกับโดมขนาดใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่คอยเป็นเกราะคุ้มกันฮงมารุแห่งนี้

       เช้าวันหนึ่ง

       มิคาสึกิ มุเนะจิกะ ผู้เป็นคินจิ (ดาบเลขา) ของฮงมารุแห่งนี้กำลังนั่งสงบต่อหน้าผู้เป็นนาย หลังม่านไม้ไผ่เบื้องหน้าเขา คือ ซานิวะชายสูงวัยในชุดสีขาวแบบญี่ปุ่นสมัยเฮอัน ที่คอมีสร้อยอัญมณีทรงกลมสีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นซานิวะสวมใส่อยู่

       “ฮอนโนจิ….” มิคาสึกิเอ่ย

       “อา….เหตุการณ์ฮอนโนจิที่อาเคจิ มิทสึฮิเดะลอบสังหารโอดะ โนบุนากะ……เป้าหมายของกองทัพข้ามเวลาคือเปลี่ยนแปลงประวัติศาตร์โดยทำให้โนบุนากะรอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น” ซานิวะอธิบาย “มิคาสึกิ ขอโทษที่ต้องรบกวนเจ้าเสมอ แต่ช่วยไปให้ทีเถิด….โอดะ โนบุนากะจะต้องตายอย่างถูกต้อง”

映画刀剣乱舞-継承- 画像6

       “อา หากท่านวางใจปู่คนนี้ล่ะก็…” มิคาสึกิยิ้มรับคำสั่ง “ข้าว่าจะถามเรื่องการจัดทัพเสียหน่อย….แต่ดูเหมือนดาบส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างออกสำรวจกันสินะ”

       “ปัญหาคือสถานที่ ที่จริงก็มีบางคนที่ข้าไม่อยากให้ไปด้วย….”

       ตอนนี้โทวเคนดันชิส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างออกสำรวจ ฮงมารุแห่งนี้จึงเหลือดาบเพียง 7 เล่มเท่านั้น และในจำนวนนี้ก็มีดาบที่มีเจ้านายเก่าเป็นโอดะ โนบุนากะอยู่ด้วย ผู้เป็นซานิวะจึงหนักใจ

       “นายท่าน ทุกคนไม่ได้ออกรบเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย” 

       เหล่าโทวเคนดันชิผ่านการต่อสู้มามากมาย และพวกเขาเหล่านั้นต่างสลักภารกิจที่ได้รับมอบหมายเอาไว้ในอกอย่างหนักแน่น พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อปกป้องประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องโดยที่ตัวเองจะต้องไม่ยึดติดกับความทรงจำในอดีต…. ดังนั้นการออกคำสั่งแต่ละครั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือก ซานิวะจึงออกคำสั่ง

       “ข้าจะให้ดาบทั้งหกเล่มออกรบ การจัดทัพจะเป็นไปตามนี้ หัวหน้าทัพหน่วยที่ 1 มิคาสึกิ มุเนะจิกะ ตามด้วย ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ, เฮชิคิริ ฮาเซเบะ, ยะเก็น โทชิโร่, ฟุโด ยูกิมิตสึ, นิฮงโก”

       เมื่อได้รับคำสั่ง ดาบทั้ง 6 เล่มจึงออกไปรวมตัวกันที่ศาลเจ้าเล็กๆในป่าห่างจากฮงมารุไม่มากนัก ที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้สำหรับเดินทางข้ามกาลเวลาของเหล่าโทวเคนดันชิ ตรงกลางข้างในศาลเจ้ามีคริสตัลทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ลานด้านหน้าทั้งสี่มุมมีรูปปั้นจิ้งจอก พื้นตรงกลางปูด้วยแผ่นหินเป็นวงกลมวาดลวดลายสามเหลี่ยมสลับไปมาคล้ายดอกไม้ขนาดใหญ่

       “เวลาคือ 21 มิถุนายน 1582 เกียวโต ฮอนโนจิ” เมื่อมิคาสึกิเอ่ยวันและเวลาของจุดหมายปลายทางเสร็จสิ้น ภายในคริสตัลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในศาลเจ้าก็เริ่มปรากฎกลีบดอกซากุระมากมายนับไม่ถ้วนปลิวว่อนไปมา ก่อนที่คริสตัลขนาดเล็กจะปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของพวกเขา

       คริสตัลขนาดเล็กนี้เสมือนเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ในการเคลื่อนย้ายไป-กลับระหว่างฮงมารุและจุดหมายปลายทาง ดังนั้นจึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่พวกเขาจำต้องพกติดตัวเอาไว้เสมอในยามออกรบ

       “ออกรบได้!”

       สิ้นคำมิคาสึกิ เหล่าโทวเคนดันชิทั้งหกก็จับกุมคริสตัลไว้ในมือ ทันใดนั้นซากุระที่กำลังปลิวว่อนไปมาก็เริ่มพัดโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น ก่อนจะเข้าห้อมล้อมตัวของเหล่าโทวเคนดันชิเอาไว้ เกิดเป็นแสงสว่างเพียงชั่วครู่ แล้วพวกเขาก็หายไป…

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ ฮอนโนจิ
       เหตุการณ์ลอบสังหารโอดะ โนบุนากะได้เริ่มต้นขึ้น

       “ไม่ต้องสนผู้หญิงกับเด็ก เป้าหมายมีอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือหัวของโอดะ โนบุนากะ!!” อาเคจิ ซามาโนะสุเกะ (ขุนพลของอาเคจิ) ประกาศกร้าว แต่ทันใดนั้นเองสายฟ้าสีแดงได้ฟาดผ่าลงมาเบื้องหน้าอย่างรุนแรง พร้อมกับการปรากฎตัวของกองทัพข้ามเวลาจำนวนนับสิบตน พวกมันชักดาบออกจากฝัก แล้วฟันใส่ทหารของทัพมิทสึฮิเดะจนล้มลงไปทีละคน

       “เจ้าพวกนี้…ไม่ใช่ทหารของโนบุนากะแน่ พวกเจ้าเป็นใครกัน!?”

       พวกมันไม่ตอบ แต่กลับไล่ฟันทหารของทัพมิทสึฮิเดะคนแล้วคนเล่า ซามาโนะสุเกะที่กำลังจนตรอกยกดาบขึ้นพร้อมสู้ แต่ทันใดนั้นเอง…ฮาเซเบะ ฟุโดและนิฮงโกก็พุ่งเข้าจู่โจมกองทัพข้ามเวลาจนพวกมันแตกพ่ายกลายเป็นฝุ่นผงสีดำ แล้วสลายไป

       อีกด้านหนึ่ง ยะเก็นที่กำลังลอบสังเกตอาเคจิ มิทสึฮิเดะ และกองทัพของเขาที่ตั้งทัพรออยู่ด้านนอกฮอนโนจิ ได้พบกับคนประหลาดที่ดูภายนอกคล้ายกับกองทัพข้ามเวลาไม่ผิด เพียงแต่ชายคนนั้นแต่งตัวคล้ายนินจา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้ามิดชิด มือขวาถือดาบสั้น เมื่อเห็นมันกำลังพุ่งดาบเข้าใส่อาเคจิ มิทสึฮิเดะ ยะเก็นจึงรีบถลาเข้าขวางทางดาบเอาไว้

       “อย่างนี้นี่เอง ถ้าฆ่าอาเคจิ มิทสึฮิเดะซะตรงนี้ ก็จะทำให้ประวัติศาตร์เปลี่ยนไปได้สินะ”

       อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับพุ่งดาบเข้าหายะเก็นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ยามัมบะกิริที่ตามมาพบจึงกระโจนเข้ามาช่วย แต่อีกฝ่ายหลบได้ทัน

       “ไม่คิดเลยว่าจะหลบได้”

      แม้ทั้งสองจะสลับกันเข้าโจมตีอีกฝ่ายเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ เพราะศัตรูตนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งมากทีเดียว อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังคล่องแคล่วรวดเร็วนัก

       ในขณะเดียวกัน โอดะ โนบุนากะ กับโมริ รันมารุยังคงต่อสู้กับทหารของมิทสึฮิเดะอย่างไม่ลดละ แต่ด้วยกำลังอันน้อยนิด ทำให้ยากที่จะรับมือกับทหารจำนวนมากได้ โนบุนากะเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจทิ้งอาวุธในมือ

       “คงได้เวลาแล้ว”

       “นายท่าน! หากเราต้านเอาไว้ต่อไปอีกเพียงอึดใจ จะต้องมีทัพเสริมเข้ามาช่วยแน่ขอรับ!”

       “ข้าจะเข้าไปด้านใน อย่าให้กองทัพของอาเคจิเข้ามาได้ล่ะ”

       รันมารุได้ยินดังนั้นก็รู้โดยทันทีว่านายของตนกำลังคิดทำการใด น้ำตาของบ่าวผู้จงรักภักดีเอ่อรื้นที่นัยน์ตาทั้งสองข้าง แต่ไม่อาจเอ่ยคัดค้านออกไปได้ เพราะเจ้านายของตนได้ตัดสินใจไปแล้ว

       “ขอบใจเจ้ามาก” โนบุนากะหันหลัง แล้วเดินเข้าไปในอารามส่วนลึกที่สุด

       ไม่ไกลนัก ฮาเซเบะ ฟุโด นิฮงโกกำลังต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาสุดกําลัง แม้ศัตรูจะสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า ทำให้ไม่สามารถต้านกองทัพข้ามเวลาเอาไว้ได้ทั้งหมด มีกองทัพข้ามเวลาจำนวนหนึ่งหลุดลอดเข้าไปข้างในอารามได้

Screenshot_2

       “แบบนี้พวกมันพาโนบุนากะหนีรอดไปได้แน่!” ฮาเซเบะตะโกนลั่น ครั้นจะผละจากศัตรูตรงหน้าก็ทำไม่ได้ ฟุโดกับนิฮงโกเองก็กำลังวุ่นกับศัตรูตรงหน้าเหมือนกัน 

       แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อกองทัพข้ามเวลาที่หลุดลอดเข้าไปกระเด็นออกมาจากในห้องนั้นอย่างแรงราวกับถูกใครโจมตีใส่ แล้วผู้ที่เดินตามออกมาก็คือ….

       มิคาสึกิ มุเนะจิกะ

       “พวกเจ้า…ที่นี่ห้ามสวมรองเท้าเข้ามานะ”

       ทั้งสามเห็นมิคาสึกิก็โล่งใจ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุณปู่ผู้นั้นเขาไปข้างในตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมเจ้าตัวก็ไม่ใส่รองเท้าตามที่พูดจริงๆ

       “ข้าฝากที่นี่ด้วย ดูเหมือนว่าจะมีกองทัพข้ามเวลาอยู่ข้างในอีกน่ะนะ”

       “ฉันไปด้วย!” ฟุโดอาสา แต่มิคาสึกิยกมือปราม

       “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะจัดการเอง”

       หลังจากมิคาสึกิผละเข้าไป พวกเขาก็เห็นโมริ รันมารุกำลังเดินโซซัดโซเซเข้าไปในอาราม จึงคุยกันว่าหมอนั่นก็ต้องตายที่นี่เหมือนกัน ฟุโดที่ได้ยินก็เงียบ

       “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะปกป้องนายท่าน! ขอเดิมพันด้วยฟุโด ยูกิมิตสึเล่มนี้!” รันมารุประกาศกร้าว เขากระชับจับมีดสั้นในมือ ต่อสู้กับเหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต แต่ด้วยจำนวนทหารฝ่ายตรงข้ามที่มีมากกว่าเขาจึงพ่ายแพ้ ถูกสังหารลงในที่สุด

       ฟุโดที่มองเห็นเหตุการณ์ข่มตาลงอย่างเจ็บปวด ก่อนเอ่ยถ้อยคำนึงออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่ได้ยิน

       “ขอโทษนะ…”

       ด้านในห้อง โนบุนากะกำลังนั่งคุกเข่าโดยมีมีดสั้นเล่มหนึ่งวางไว้ด้านหน้า ด้วยศักดิ์ศรีที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเขาตัดสินใจที่จะเซปปุกุ(คว้านท้อง)ปลิดชีวิตตนเองดีกว่าจะยอมให้ชีวิตของตนต้องถูกผู้อื่นประหาร แต่ทันใดนั้นประตูได้ถูกเปิดออกอย่างแรง กองทัพข้ามเวลาที่หลุดลอดจากการป้องกันของพวกฮาเซเบะเดินเข้าหาโนบุนากะทันที

       จังหวะนั้นเอง มิคาสึกิได้เข้ามาขวางเอาไว้

       “ไม่ไหวๆ พวกเจ้าคิดจะให้คนแก่ทำงานไปถึงเมื่อไหร่กัน”

       “พวกเจ้าเป็นใครกัน!” โนบุนากะเอ่ยถาม 

       “ข้างหน้าท่านอาจจะเอะอะสักนิด ขออภัยด้วย” มิคาสึกิไม่สนใจคำถามนั้น 

       “เจ้าเป็นใคร!!”

       มิคาสึกิยังคงไม่ตอบ เขาเพียงแต่ยิ้ม “ท่านทำในสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จเถิด”

       “หึ เรื่องนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องมาบอก” โนบุนากะกระตุกยิ้มมุมปาก “นี่คือชะตาชีวิตของข้า ข้าจะปิดฉากมันเอง”

       มิคาสึกิได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มเบาๆพร้อมโค้งให้หนึ่งครั้ง ก่อนจะขับไล่ให้ศัตรูออกจากห้อง แล้วปิดประตู

       ในห้องเหลือเพียงโนบุนากะ

       “โอดะ โนบุนากะ…จะจบชีวิตลงเพราะการกบฎของอาเคจิ มิทสึฮิเดะ….งั้นรึ” โนบุนากะหัวเราะในลำคอ “หึ ข้าอยากเห็นเหลือเกิน ความโกลาหลอลหม่านหลังการตายของข้า…..คงสนุกเป็นแน่!”

       โนบุนากะหยิบดาบสั้นขึ้นมาตรงหน้า แล้วชักออกจากฝัก…

       หลังจากมั่นใจว่าขับไล่กองทัพข้ามเวลาออกไปได้หมด และโอดะ โนบุนากะได้ปลิดชีวิตตนตายลงตามประวัติศาตร์แล้ว เหล่าโทวเคนดันชิก็พากันถอนกำลังออกมาด้านนอก และเฝ้ามองฮอนโนจิที่กำลังถูกไฟแผดเผา ยะเก็นทอดสายตามองลึกเข้าไปในเปลวเพลิงที่ค่อยๆโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น

       “เท่านี้ก็เป็นไปตามประวัติศาสตร์ ข้างในนั้นท่านโนบุนากะ…..”

       เหล่าดาบของโนบุนากะทั้งสามเล่ม ยะเก็น ฟุโด และฮาเซเบะต่างยืนมองฮอนโนจิอย่างเงียบๆ ไม่นานนักมิคาสึกิก็ตามมาถึงเป็นคนสุดท้าย 

       “เอาล่ะ กลับกันเถิด”

       คริสตัลที่ได้รับเมื่อก่อนออกรบถูกโยนขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่กลีบซากุระจะปรากฎขึ้นปลิวว่อนไปมาดั่งพายุ แล้วทุกคนก็หายไป

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ทันทีที่เดินทางกลับมาถึงฮงมารุ พวกเขาก็พบกับอุกุยสึมารุ หนึ่งในโทวเคนดันชิผู้ที่มักจะได้รับหน้าที่คอยเฝ้าฮงมารุอยู่เสมอมายืนรอรับอยู่ก่อนแล้ว เขาเดินเข้ามายิ้มทัก

       “ทุกคนกลับกันมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”

       “โอ้ อุกุยสึมารุ…ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าบ้านเช่นนี้ คงเบื่อเต็มทีแล้วสินะ” มิคาสึกิเอ่ยทัก

       “ไม่หรอก การอยู่ว่างๆนั้นเหมาะกับนิสัยข้ามากทีเดียว” อุกุยสุมารุยิ้ม “แต่คราวนี้มีโทวเคนดันชิหนึ่งเล่มปรากฎกายขึ้นใหม่ ข้าเลยไม่ค่อยว่างแล้วล่ะนะ”

       ร่างของเด็กหนุ่มผมขาว นัยน์ตาสีม่วง แต่งกายด้วยเครื่อบแบบคล้ายกับยะเก็นเดินเข้ามา

vlcsnap-2019-06-22-16h57m41s180

       “พี่โฮเนะบามิ!” ยะเก็นทัก

       “โอ้ ไม่ได้พบกันเสียนานนะ” มิคาสึกิทักบ้าง

       “….?” เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ทำสีหน้าสงสัย

       “คนรู้จักรึ?” ฮาเซเบะหันไปถามมิคาสึกิ

       “อา พวกเราเคยถูกวางเอาไว้ด้วยกันในฐานะสมบัติล้ำค่าของอาชิคางะ เขาคือ โฮเนะบามิ โทชิโร่ หนึ่งในพี่น้องตระกูลเดียวกับยะเก็น โทชิโร่อย่างไรเล่า” 

        ยะเก็นเห็นโฮเนะบามิมองพวกตนด้วยสายตาสงสัย จึงเอ่ยถาม “พี่โฮเนะบามิ เป็นอะไรไป?”

       “ข้าควรจะบอกไว้ก่อนสินะ” อุกุยสึมารุขัดขึ้น “เขาถูกไฟไหม้ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในเอโดะ ก็เลยจำเรื่องราวตอนที่ตัวเองเป็นดาบไม่ได้น่ะ”

       ยะเก็นตกใจ ส่วนมิคาสึกิมองไปยังสหายเก่าตรงหน้า

       “ยังไงก็กลับมากันแล้ว ไปดื่มชากันก่อนดีไหม” อุกุยสึมารุพูดเสร็จก็หันไปทางฟุโดที่กำลังกระดกเหล้าหวานเข้าปาก “ฟุโด ถ้าเจ้าดื่มเหล้ามากเสียขนาดนั้น จะเป็นโทษต่อร่างกายเอานะ”

       “อย่าพูดจาโหดร้ายแบบนั้นน่า….ฮึก! ก็ทำงานเสร็จแล้วนี่นา แล้วนี่มันก็เหล้าดื่มฉลองต่างหาก เหล้าฉลอง ฮึก!”

        มิคาสึกิส่ายหัวเบาๆเป็นเชิงให้อุกุยสึมารุอย่าถือสา เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ ส่วนนิฮงโกเดินเข้าไปคล้องคอฟุโดแล้วยิ้มร่า “ไม่เลวนี่ ถ้าเป็นเรื่องเหล้าล่ะก็ถึงไหนถึงกัน”

       “โอ้ สมแล้วที่เป็นโกจัง” 

       แล้วทั้งสองคนก็เดินนำไปก่อน ทุกคนจึงทยอยเดินตาม

       “เช่นนั้น ข้าขอตัวไปรายงานภารกิจกับนายท่านก่อน…โฮเนะบามิ ไว้พวกเราค่อยมาคุยกันคราวหลังนะ” มิคาสึกิขอตัวผละออกไป ฮาเซเบะเอ่ยปากร้องขอตามไปด้วย “ฉันต้องไปทักทายนายท่านเสียหน่อย มิเช่นนั้นมันจะเสียมารยาท” แต่มิคาสึกิยกมือขึ้นห้าม

       “ไม่ต้องหรอก เรื่องรายงานภารกิจแค่ข้าคนเดียวก็พอ เพราะนายท่านไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีรีตองนี่นะ” พูดจบเจ้าตัวก็เดินออกไป ทิ้งให้ฮาเซเบะฟึดฟัดไม่พอใจ

       “แค่ไปทักทายมันจะเป็นพิธีรีตองอะไรขนาดนั้น”

       “อย่าคิดมากเลย เพราะถ้าพวกเราไปหานายท่านกันหมดนี่ ก็รังแต่จะวุ่นวาย” ยามัมบะกิริพูดปลอบ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ที่ห้องของซานิวะ

       “มิคาสึกิ และดาบทั้งห้าเล่ม ทุกคนกลับมาแล้วล่ะ นายท่าน”

       “ขอบใจพวกเจ้ามาก ดีจริงๆที่กลับกันมาอย่างปลอดภัย” ซานิวะตอบรับ

       “ดูเหมือนพวกที่ออกไปสำรวจจะยังไม่กลับมากันสินะ”

       “อา คงกำลังเจอศึกหนักทีเดียว” 

       “……….” ทั้งสองนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ซานิวะจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

002_size6

       “เป็นครั้งแรกที่กองทัพข้ามเวลาโจมตีประวัติศาตร์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้” 

       “พวกมันอาจมีจุดประสงค์บางอย่าง……”

       “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น อาจเป็น….” ซานิวะเงียบไป มิคาสึกิดูเหมือนจะเข้าใจประโยคที่ผู้เป็นนายจะพูดต่อดี  สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นความวิตก เขาเหลือบสายตาลงมองอัญมณีสีชมพูบนสร้อยคอที่ผู้เป็นนายสวมใส่อยู่

      “หรือว่า…”

       “…….”

      “…..อย่างนั้นเองหรือ….เข้าใจแล้วล่ะ” มิคาสึกิค่อยๆคลายสีหน้าวิตกลงอย่างใจเย็น “ข้าจะเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม เช่นนั้น ท่านจงพักผ่อนสักครู่ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของปู่คนนี้เถิด”

      ซานิวะได้ฟังก็หัวเราะ “เจ้าเอาแต่พูดว่าปู่อย่างนั้น ปู่อย่างนี้อยู่เสมอ มันกระทบข้ารู้ไหม” 

       “ฮ่าๆๆๆๆ ต้องขอโทษด้วย เพราะข้าเป็นดาบนี่นะ แม้จะอยู่ในร่างกายนี้ แต่ข้าก็อยู่มานานนับร้อยนับพันปีแล้ว หมู่นี้เอวข้ามันก็เลย….” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจิ้มๆตรงเอว

       “โกหกทั้งเพ”

       ทั้งสองหัวเราะออกมา

       “……คนแก่ก็มีสิ่งที่คนแก่ควรทำให้สำเร็จนะ มิคาสึกิ” 

       “อืม….” มิคาสึกิพยักหน้า

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       หลังจากออกรบกลับมา ทุกคน(ยกเว้นมิคาสึกิ)ก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของฮงมารุ ฟุโดนั่งกระดกเหล้าหวานอยู่มุมหนึ่ง รอบๆเต็มไปด้วยขวดเหล้าหวานราวๆสิบขวดเห็นจะได้ มีนิฮงโกนั่งดื่มเหล้าอยู่ใกล้ๆ ส่วนอุกุยสึมารุ ยะเก็น ยามัมบะกิริ ฮาเซเบะกำลังนั่งล้อมวงคุยกันเรื่องโฮเนะบามิ โดยเจ้าตัวก็นั่งตั้งใจฟังอยู่ด้วย

kjf

      “อย่างนี้นี่เอง สรุปก็คือพี่ชายของยะเก็นคนนี้ถูกไฟไหม้ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ก็เลยสูญเสียความทรงจำไปสินะ” นิฮงโกสรุป อุกุยสึมารุจึงอธิบายต่อ

      “โฮเนะบามิ โทชิโร่ เป็นดาบเลื่องชื่อที่กล่าวกันว่าเพียงแค่กวัดแกว่งก็เฉือนไปถึงกระดูก”

       ยะเก็นถอนหายใจ “เห้อ ดูเหมือนพวกเราพี่น้องจะมีชะตากรรมแบบนั้นนะ”

      “นายเองก็ด้วยเหรอ?” โฮเนะบามิหันไปถาม

      “ผมเคยเป็นดาบของท่านโนบุนากะ ตอนเหตุการณ์ฮอนโนจิก็เลย…… ถึงจะไม่เท่าพี่โฮเนะบามิ แต่ผมเองก็จำเรื่องเมื่อตอนนั้นไม่ค่อยได้เหมือนกันล่ะนะ”

      “…..”

       ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ จนฟุโดพูดขึ้น

      “ไม่เห็นเป็นไรเลย การจำได้มันก็ใช่ว่าจะดีกว่าเสมอไปนี่นา ฮึก!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หาวฟอดใหญ่ ก่อนล้มตัวลงนอน นิฮงโกเห็นท่าทีของฟุโดจึงหันไปอธิบายกับโฮเนะบามิที่กำลังทำหน้าสงสัยอยู่

      “อย่าถือสาหมอนี่เลย หมอนี่น่ะเคยเป็นดาบเล่มโปรดของโนบุนากะมาก่อน เพราะงั้นการได้ไปออกรบที่ฮอนโนจิคงทำให้หมอนี่หนักใจเอาการน่ะนะ” 

      “แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำภารกิจได้ลุล่วง แสดงว่าฟุโดเองก็เติบโตขึ้นแล้ว” ยามัมบะกิริพูดขึ้นบ้าง

      “ทุกคน…เคยอยู่กับโอดะ โนบุนากะ….เหรอ” โฮเนะบามิถาม ทุกคนนิ่งเงียบ มีเพียงฮาเซเบะที่ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก “จะบอกว่าเกี่ยวก็ไม่เชิงหรอก เพราะอยู่ไม่นานฉันก็ถูกยกให้คนอื่นไป”

      “อย่าพูดแบบนั้นสิ” อุกุยสึมารุรีบติ ฮาเซเบะจึงยกชาขึ้นมาจิบไม่พูดอะไรต่อ

      “พวกเราเป็นสิ่งของ จึงพบเจอเรื่องราวมากมายในแบบของสิ่งของ…” ยามัมบะกิริกล่าวเสียงเรียบ

       โฮเนะบามิไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็เปลี่ยนเรื่องถามถึงคนที่บอกว่ารู้จักตัวเองเมื่อตอนนั้น อุกุยสึมารุจึงตอบ  “เขาคือมิคาสึกิ มุเนะจิกะ เป็นดาบเลขา(คินจิ)ของฮงมารุแห่งนี้….ก็เป็นตำแหน่งที่เหมือนกับตัวกลางผู้นำสารล่ะนะ ว่ากันว่าเป็นดาบเลื่องชื่อที่งดงามที่สุดในบรรดาดาบที่ถูกเรียกว่าห้าดาบในใต้หล้าเลยล่ะ นายท่านไว้วางใจในตัวเขามาก”

       ฮาเซเบะได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “เพราะแบบนั้น หมู่นี้ก็เลยมีแต่หมอนั่นที่สามารถอยู่ข้างๆนายท่านได้รึไง” พออุกุยสึมารุบอกว่าตอนนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกันอยู่ ฮาเซเบะก็ยิ่งชักสีหน้าแสดงอาการไม่พอใจ

      “ก็แล้วมันไม่แปลกรึไง ช่วงนี้มีใครได้คุยกับนายท่านบ้างรึเปล่าล่ะ? มิคาสึกิน่ะ กำลังกันให้พวกเราออกห่างจากนายท่านอยู่…..”

      “ฮ่าๆๆๆๆๆ” พูดยังไม่ทันจบคำ มิคาสึกิก็ถือจานขนมดังโงะเดินหัวเราะเข้ามา “แย่จังเลยนะ ที่ข้าถูกมองเป็นเป็นปู่ตัวร้ายไปเสียแล้ว”

       ฮาเซเบะถึงกับเลิ่กลั่ก แม้จะไม่สบอารมณ์นักแต่ก็ยอมขอโทษที่นินทามิคาสึกิไปสักครู่โดยดี แต่ก็ยังไม่วายพูดย้ำ “ที่ฉันพูดไปมันคือเรื่องจริง ทำไมถึงให้คนอื่นไปพบนายท่านบ้างไม่ได้”

      “อะไรกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เพียงแต่หมู่นี้นายท่านยุ่งขึ้นทุกวันๆ ก็เลยขออยู่คนเดียวสักพักอย่างไรเล่า โอ๊ะ จริงสิ! ข้าลืมทำอะไรสักอย่างกับเจ้านั่นไปซะแล้วสิ” ว่าแล้วมิคาสึกิก็วางจานขนมดังโงะลงบนโต๊ะ ทำท่าทางหลงๆลืมๆแล้วเดินออกจากห้องไปซะดื้อๆ

      “…..ทำกลบเกลื่อนอย่างที่ถนัดอีกแล้ว” ฮาเซเบะทำหน้าระอา ส่วนยามัมบะกิริถอนหายใจ

      “แต่…ไม่เนียนเอาซะเลย”  

      ทั้งสองหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินแบบไม่อยากใส่ใจคนที่เป็นดาบเลขาให้มากความ ยะเก็นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มไม่พูดอะไร โฮเนะบามิจึงได้แต่มองแบบงงๆ ขณะที่อุกุยสึมารุมองตามมิคาสึกิที่เพิ่งเดินออกด้วยสีหน้าครุ่นคิด 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ได้ออกรบในเหตุการณ์ฮอนโนจิ

       มิคาสึกิถูกซานิวะเรียกให้ไปพบแต่เช้าตรู่ เจ้าตัวรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจึงรีบเดินไปยังห้องของซานิวะที่อยู่ชั้นสอง เมื่อไปถึงก็เอ่ยถามผู้เป็นนายทันที

       “นายท่าน เรียกข้ามาตั้งแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือ?”

       ซานิวะกำลังมองไปที่จอมอนิเตอร์ต่างๆที่ปรากฎขึ้นด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

       “นายท่าน….?”

       “โนบุนากะ……”

      คำตอบที่ได้รับทำให้มิคาสึกิเบิกตากว้าง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       สายลมเย็นๆพัดโบกมา โอดะ โนบุนากะลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะพบว่าตนเองอยู่บนโขดหินในถ้ำแห่งหนึ่งโดยที่ตนยังสวมใส่ชุดกิโมโนสีขาว ชุดเดียวกับเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์ฮอนโนจิ ข้างๆมีมีดสั้นเล่มหนึ่งวางอยู่

       “ที่นี่มันที่ไหนกัน ทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่….” โนบุนากะกวาดตาไปรอบๆ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา เขารีบคว้ามีดสั้นขึ้นมาป้องกันตัว

       ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเขาคือ ชายรูปร่างผอมที่แต่งตัวละม้ายคล้ายกับนินจา เสื้อผ้าเป็นสีดำทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า อีกทั้งใบหน้ายังมีหน้ากากสีดำสวมอยู่ เห็นเพียงดวงตาที่มีแสงสีแดงสะท้อนออกมาเท่านั้น มันเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะโค้งหัวแสดงความเคารพ โนบุนากะเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าไม่ใช่ศัตรู

       “เจ้าเป็นใคร?”

       “….ไร้นาม (มุเมย์:無名)….” น้ำเสียงของคนตรงหน้าที่เปล่งออกมายังหนุ่มนัก

       “ไร้นามงั้นรึ” โนบุนากะย้ำ “หมายถึง ไม่มีชื่อ…น่ะรึ”

       “ท่านปลอดภัยก็ดีแล้ว….”

       โนบุนากะประหลาดใจกับคำตอบนั้น เขาชักมีดสั้นออกจากฝัก ส่องดูเงาของตนเองผ่านใบมีด ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้มีเพียงภาพที่ตัวเองกำลังนั่งในห้องที่กำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงเท่านั้น….

       “นี่ข้า…หนีรอดออกมาจากฮอนโนจิอย่างนั้นหรือ”

       มุเมย์พยักหน้า โนบุนากะเห็นมุเมย์จึงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาจำได้ว่าก่อนสติจะดับไป อยู่ๆก็เห็นเงาสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิง ในตอนนั้นเขานึกว่าเป็นภาพลวงตา แต่ที่จริงแล้วเป็นมุเมย์นั่นเองที่ช่วยเขาออกมา พอรู้ดังนั้นโนบุนากะจึงหัวเราะออกมาดังลั่น

       “แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นเล่า? การเคลื่อนไหวของมิทสึฮิเดะล่ะ? รันมารุ….รันมารุอยู่ด้วยหรือไม่!”

       “ขออภัยที่ต้องเรียนว่า คนของท่านถูกสังหารทั้งหมด…”

       โนบุนากะชะงัก “ไม่เหลือ…เลยสักคน…งั้นหรือ”

       มุเมย์อธิบายต่อ “ผู้คนเข้าใจว่าท่านปลิดชีพตนเอง และสิ้นชีพไปในเปลวเพลิงที่แผดเผาวัดฮอนโนจิไปแล้ว” ก่อนจะชี้ไปทางด้านในสุดของถ้ำที่มีกองทัพข้ามเวลาจำนวนมากยืนอยู่เต็มไปหมด พวกมันสวมหมวกใบใหญ่ แต่งกายดำทั้งตัว บ้างถือดาบ บ้างถือหอก อีกทั้งรอบกายพวกมันยังเต็มไปด้วยหมอกสีดำทึบ มุเมย์บอกให้โนบุนากะสั่งการได้ตามใจชอบ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       กลับมาที่ฮงมารุ

       “เฮ้ยๆๆๆๆ โนบุนากะ…ยังมีชีวิตอยู่เรอะ!!!”

       เมื่อรู้ว่าโนบุนากะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งอุกุยสึมารุ ฮาเซเบะ ยามัมบะกิริ ยะเก็น ฟุโด โฮเนะบามิต่างก็มานั่งล้อมโต๊ะอยู่ในห้องนั่งเล่นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก สักพักนิฮงโกก็วิ่งหน้าตั้งตาตื่นเข้ามา “ทำไมโนบุนากะถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราปิดงานไปแล้วเรอะ” ฮาเซเบะเลยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นเพราะพวกตนกำจัดกองทัพข้ามเวลาไม่หมด

       “แต่ตอนที่พวกเราถอยทัพกลับ ไม่มีร่องรอยของกองทัพข้ามเวลาเหลือแล้วนะ” ยะเก็นแย้ง

       “มีทหารของโนบุนากะช่วยให้หนีออกไปได้….งั้นหรือ” ยามัมบะกิริทำท่าครุ่นคิด ส่วนฟุโดส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนที่ควรจะตายที่นั่นก็ตายไปหมดแล้วนี่นา”

       พอเห็นทุกคนคิดกันหนัก อุกุยสึมารุจึงบอกว่าตอนนี้นายท่านกับมิคาสึกิกำลังประชุมหารือกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

       “มิคาสึกิอีกแล้วรึ….” ฮาเซเบะตัดพ้อ

       “อย่าบ่นเลยน่า เอาล่ะ นายท่านได้แจ้งรายชื่อในการจัดทัพมาแล้ว” อุกุยสึมารุหยิบสาสน์ที่ได้รับมาจากมิคาสึกิขึ้นมาอ่าน ทุกคนตั้งใจฟัง “หัวหน้าทัพคือ มิคาสึกิ มุเนะจิกะ ตามด้วย ยะเก็น โทชิโร่, เฮชิคิริ ฮาเซเบะ, ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ, นิฮงโก……โฮเนะบามิ โทชิโร่”

       “เอ๋…” โฮเนะบามิประหลาดใจ ในขณะที่ฟุโดทำหน้าผิดหวัง 

       “ฟุโด นายท่านอยากให้เจ้าพักสักหน่อยน่ะ อยู่ปกป้องฮงมารุกับข้าเถอะนะ” อุกุยสึมารุพูดปลอบ

       พอเห็นฟุโดผิดหวังคอตก นิฮงโกจึงเข้าไปกอดไหล่ปลอบว่าหลังจากนี้ให้พวกเขาจัดการเถอะ ก่อนจะโดนอุกุยสึมารุไล่ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับบอกให้ทุกคนที่มีรายชื่อออกทัพไปเตรียมตัวให้พร้อม

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ ห้องซานิวะ
       หลังจากประชุมหารือกันมาสักพัก ซานิวะจึงตัดสินใจทำตามแผนของมิคาสึกิ

       “จะว่าไป ไม่คิดเลยว่าโอดะ โนบุนากะยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้….ข้าควรรอบคอบให้มากกว่านี้แท้ๆ ขอโทษด้วย”

       “ไม่เลย” มิคาสึกิรีบแย้ง “ทั้งหมดนี่เป็นความรับผิดชอบของข้าที่เป็นหัวหน้าทัพต่างหาก นายท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” 

       “อย่างไรเสียข้าก็ต้องรบกวนเจ้าด้วย….เพราะดูเหมือนเวลานั้นก็จวนจะใกล้เข้ามาแล้ว”

       “….” แววตามิคาสึกิวูบไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอัญมณีบนสร้อยคอที่เจ้านายของตนสวมใส่ บัดนี้เริ่มมีแสงสว่างเลือนลางสะท้อนออกมา

       “ต่างฝ่ายต่างปกป้องสิ่งที่ควรปกป้องกันเถอะนะ”

       “นายท่าน….” มิคาสึกิโค้งรับคำ

       “มิคาสึกิ….ตัวข้ารายล้อมไปด้วยเหล่าโทวเคนดันชิที่ดีจริงๆ”

       “หากพูดเช่นนั้นล่ะก็…พวกเราเองก็เช่นกัน มีเจ้านายที่ดี….” นัยน์ตามิคาสึกิฉายแววเศร้าชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮ่าๆๆๆๆ พูดแบบนี้ราวกับว่าจะแยกจากกันชั่วชีวิตเลยนะ”

       ซานิวะหัวเราะตอบเบาๆ ก่อนเอ่ย “ทั้งเรื่องหลังจากนี้ ทั้งเรื่องฮงมารุ ทั้งหมดนี้ข้าขอฝากเจ้าด้วย”

       “อืม…” มิคาสึกิสบตาผู้เป็นนาย “เช่นนั้น….ข้าขอตัวไปก่อน”

       เมื่อมิคาสึกิออกมาจากห้องของซานิวะ เขาก็พบกับอุกุยสึมารุที่มายืนรออยู่ข้างบันได

       “ถึงเวลาที่เจ้าจะพูดให้ข้าฟังได้แล้วล่ะนะ เจ้ากับนายท่านกำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่ ช่วยบอกให้คนมีหน้าที่เฝ้าบ้านอย่างข้าฟังหน่อยได้ไหม” 

       เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย มิคาสึกิก็ยิ้มเอ่ยยอมแพ้ “ฮ่ะๆ ต้องยอมให้เจ้าจริงๆเลยนะ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังแล้วบอกความจริงแก่อุกุยสึมารุ โดยไม่รู้เลยว่านิฮงโกที่บังเอิญผ่านมาได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่กำลังแอบฟังอยู่ในมุมๆหนึ่งอย่างเงียบๆ

Untitled-3

       “เรื่องจริงหรือ!?” อุกุยสึมารุตกใจหลังจากได้ฟังเรื่องราวบางอย่างจากมิคาสึกิ “ทำไมถึงไม่บอก…..”

       “เพราะจะให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสู่ข้างนอกไม่ได้นั่นล่ะนะ แต่ถึงแม้จะระมัดระวังมากเพียงใด…ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่กองทัพข้ามเวลาจะล่วงรู้ถึงเรื่องนี้แล้ว” มิคาสึกิอธิบาย “อุกุยสึมารุ ข้าต้องรบกวนเจ้าด้วย”

       “เดี๋ยวสิ ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยู่เคียงข้างนายท่านที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

       “ไม่ได้หรอก……เพราะครั้งนี้ ข้าตั้งใจจะถอนตัวจากตำแหน่งดาบเลขา”

       “ว่าไงนะ!?”

       นิฮงโกที่แอบฟังอยู่ก็ตกใจเช่นกัน เดิมทีแล้วมิคาสึกิเป็นดาบเลขาของฮงมารุแห่งนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องที่มิคาสึกิจะขอออกจากการเป็นดาบเลขานั้นเป็นสิ่งที่คนอื่น รวมทั้งตัวเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

       “หมายความว่ายังไง” อุกุยสึมารุถามย้ำ

       “ข้าทำให้นายท่านต้องขอโทษเพราะเหตุการณ์ฮอนโนจิเสียแล้ว ช่างน่าละอายนัก”

       “นั่นน่ะ…เป็นเพราะนายท่านเป็นคนแบบนั้นต่างหากเล่า ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย”

       “ข้าเอง…เป็นเพราะข้าเอง” มิคาสึกิตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มขอตัวไปทำภารกิจเพื่อชดเชยเรื่องนี้ก่อน อุกุยสึมารุเห็นดังนั้นจึงพูดอะไรไม่ออก

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ฝั่งฮาเซเบะที่กำลังรอผู้ร่วมทัพที่เหลือ 2 คนเดินทางมาถึงศาลเจ้าทำพิธีก็เริ่มบ่นหงุงหงิงว่าเมื่อไหร่สองคนนั้นจะมากันสักที ส่วนยะเก็นเห็นโฮเนะบามิกำลังทำสีหน้ากังวลจึงถามด้วยความเป็นห่วง

       “เป็นอะไรไปน่ะพี่โฮเนะบามิ ออกรบครั้งแรกก็เลยกังวลเหรอ?”

       “…..ไม่ค่อยเข้าใจเลย” 

       “หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”

       “ประวัติศาสตร์…เป็นสิ่งที่ต้องปกป้องเหรอ?”

       “เอ๋?”

       ทุกคนต่างมองไปที่โฮเนะบามิ

       “ไม่ใช่ว่าฉันเกลียดการต่อสู้หรอก แค่อยากรู้เหตุผลเท่านั้น….” 

       หากประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลง โลกข้างหน้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย” ฮาเซเบะตอบเสียงชัด

       “….งั้นเหรอ” โฮเนะบามิยังคงทำสีหน้าครุ่นคิด แต่ไม่นานนักมิคาสึกิกับนิฮงโกก็เดินมาถึง

       “ทุกคน เตรียมพร้อมแล้วสินะ” มิคาสึกิกวาดตามองเพื่อนร่วมทัพ “เอาล่ะ ไปกันเถิด เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว…..ลอบสังหารโอดะ โนบุนากะ”

       คริสตัลขนาดเล็กปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ กลีบดอกซากุระมากมายนับไม่ถ้วยปลิวว่อนราวกับพายุไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่เหล่าโทวเคนดันชิจะหายไป….

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       เกียวโต ปี 1582

       หลังจากได้ข่าวเหตุการณ์ฮอนโนจิที่โอดะ โนบุนากะถูกอาเคจิ มิทสึฮิเดะลอบสังหาร ฮาชิบะ ฮิเดโยชิจึงรีบเจรจาสงบศึกกับตระกูลโมริ และยกทัพจากภูมิภาคชูโกคุมาสู่เมืองเกียวโตอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์เพื่อแก้แค้นให้แก่นายของตน สงครามได้ปะทะขึ้นที่ยามาซากิ และใช้เวลารบเพียงไม่นานฮิเดโยชิก็สามารถปราบทัพของอาเคจิ มิทสึฮิเดะจนแตกพ่ายได้สำเร็จ

       โนบุนากะยืนมองภาพอาเคจิ มิทสึฮิเดะ และกองทัพอันน้อยนิดของเขาพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงอย่างพึงพอใจ การที่ได้เห็นความอลหม่านหลังการตายของตนเองเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเพลิดเพลินยิ่งนัก

       “เจ้ามิทสึฮิเดะ มาได้แค่นี้เองรึ” โนบุนากะหันกลับมาพูดกับมุเมย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

       “ท่านโนบุนากะ…..รีบประกาศตนเถิด หากทุกคนยังเข้าใจว่าท่านตายไปแล้วเช่นนี้ ที่ช่วยท่านไว้ก็ไร้ความหมาย”

       “อย่าห่วงไปเลยน่า ข้ากำลังพินิจว่าใครมีค่าพอที่จะเชื่อใจได้บ้าง ก่อนอื่นก็ฮิเดโยชิ…เจ้าลิงนั่น”

       โนบุนากะมอบจดหมายที่จ่าหน้าซองว่า “ถึงเจ้าลิงก้นแดง” ให้กองทัพข้ามเวลาตนหนึ่ง แล้วบอกให้นำมันไปมอบให้กับฮิเดโยชิ เนื้อความในจดหมายเขียนว่าจะไปรอที่ปราสาทอาสึจิ

       “ข้าจะจัดเตรียมกองทัพขึ้นที่นั่น แล้วประกาศให้โลกได้รับรู้ ว่าโอดะ โนบุนากะผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนจะได้แตกตื่นกันอีกครั้ง ฮ่าๆๆๆๆ” โนบุนากะหัวเราะลั่น แต่เพียงเสี้ยววิสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังธงสีฟ้าลายดอกคิเคียว สัญลักษญ์ของกองทัพมิทสึฮิเดะ ก่อนประกาศลั่น….

       “แต่ก่อนหน้านั้น…ข้าจะฆ่าเจ้าหัวโล้นนั่นซะ!!”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ที่เนินเขาฝั่งตรงข้าม ยะเก็นกับฮาเซเบะกำลังใช้กล้องส่องทางไกลเฝ้าสังเกตการณ์โอดะ โนบุนากะและกองทัพข้ามเวลาอยู่ โดยมียามัมบะกิริและมิคาสึกิยืนอยู่ข้างๆ

       “คนที่ช่วยโนบุนากะ คือพวกกองทัพข้ามเวลาจริงๆด้วย” ฮาเซเบะสรุป

       “จะว่าไป…เจ้านั่นก็แปลกอยู่นะ” ยะเก็นจับตามองไปที่คนประหลาดที่เขาพบเมื่อตอนเหตุการณ์ฮอนโนจิ

       “ใครรึ?” ยามัมกิริยืมกล้องส่องทางไกลจากยะเก็นมาส่องบ้าง “อา เจ้าคนที่แคล่วคล่องนั่น”

Untitled-1

       ฮาเซเบะถามว่าแปลกยังไง ยะเก็นก็ตอบว่าตอนที่ประดาบกัน สัมผัสของกองทัพข้ามเวลาในตัวเจ้านั่นมันจางมากจนเขาแทบจะไม่รู้สึก เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นพวกเดียวกับกองทัพเวลาจริงๆหรือ พอได้ฟังยะเก็นพูด ฮาเซเบะก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสพลังของกองทัพข้ามเวลาตนนั้นไม่ได้ ก็เลยคิดว่ากำจัดกองทัพข้ามเวลาออกไปได้หมดแล้ว แท้จริงนั้นเจ้าคนแปลกๆที่พวกยะเก็นกำลังพูดถึงเป็นคนพาโนบุนากะหนีไปนั่นเอง

       สักพักนิฮงโกกับโฮเนะบามิที่ออกไปลอบสังเกตุการณ์อาเคจิ มิทสึฮิเดะก็เดินกลับเข้ามารายงานสถานการณ์

       อาเคจิ มิทสึฮิเดะกับพวกทหารที่เหลือพากันถอยร่นไปกบดานอยู่ที่ปราสาทโชริวจิแล้วล่ะ คงกำลังรอให้ฟ้ามืดเพื่อหลบหนี อีกอย่าง…ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครรู้เรื่องที่โนบุนากะยังมีชีวิตอยู่ด้วย ตอนนี้ถ้าดูจากเบื้องหน้าก็เป็นไปตามประวัติศาสตร์ล่ะนะ”

       ฮาเซเบะเริ่มทนไม่ไหว “เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาไม่ใช่เรอะ กองทัพข้ามเวลาที่ผละออกไปนั่นอาจเป็นม้าเร็วก็ได้ ฉันจะตามไปดู”

       “เดี๋ยวก่อน” มิคาสึกิห้าม “ตอนนี้พวกเราอยู่ดูสถานการณ์กันก่อนเถิด” 

       ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดของหัวหน้าทัพ เพราะความจริงแล้วหากกองทัพข้ามเวลามีความเคลื่อนไหวที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ พวกเขาจะต้องหาทางขัดขวางโดยทันที

       “บอกให้ดูสถานการณ์ก่อนงั้นรึ มีเวลาว่างมากขนาดนั้นรึไง!?” ฮาเซเบะเริ่มไม่พอใจ

       “หากการแก้ไขประวัติศาสตร์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ขึ้นอีกมันก็สูญเปล่า ตอนนี้พวกเราต้องเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ”

       ท่าทีสบายๆไม่ทุกข์ร้อนของมิคาสึกิยิ่งทำให้ฮาเซเบะโมโห

       “แต่ถ้าเรื่องที่โนบุนากะยังมีชีวิตอยู่รู้ไปถึงคนหมู่มากล่ะก็ มันจะยิ่งยุ่งยากไม่ใช่เรอะ ไม่ว่ายังไงก็ควรจัดการ!”

       “เอาน่า อย่าโมโหไปเลย”

       “มิคาสึกิ นายน่ะใจเย็นเกินไปแล้ว!!  ตั้งใจทำงานจริงๆรึเปล่า?!!”

       “แน่นอนสิ แต่ก็คงสู้เจ้าไม่ได้ล่ะนะ ฮ่าๆๆๆๆ”

       มิคาสึกิหัวเราะ ฮาเซเบะที่ไม่สบอารมณ์อยู่แล้วก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เขาเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อมิคาสึกิแล้วตะคอกอย่างโกรธจัด

vlcsnap-2019-06-22-19h53m51s162

       “เลิกพูดจาล้อเล่นไร้สาระได้แล้ว!!!!”

       นิฮงโกเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาแยก “ใจเย็นก่อนน่า ข้าว่าคุณปู่แกคงมีความคิดอยู่ล่ะนะ” 

       “ความคิดที่ไม่พูดออกมา มันก็เหมือนกับไม่ได้คิดนั่นแหล่ะ!!” ฮาเซเบะปล่อยมือ ข่มอารมณ์ “โทษที แต่ก่อนที่มันจะสายเกินไป ฉันขอตัวไปทำหน้าที่ก่อนก็แล้วกัน”

       “อา เข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ฝากด้วย” มิคาสึกิอนุญาต ฮาเซเบะมองอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป 

       “ข้าจะตามเจ้านั่นไปเอง จะไม่ปล่อยให้หมอนั่นทำเรื่องเกินตัวหรอก” นิฮงโกเสนอตัว ก่อนหันกลับมาทางมิคาสึกิ “แต่ที่เจ้านั่นพูดน่ะ ข้าว่าก็มีเหตุผลในระดับหนึ่งล่ะนะ…..ถึงใจข้าจะเชื่อในตัวท่าน แต่ก็มีบางเรื่องที่หากท่านไม่พูดพวกเราก็ไม่รู้…”

       “……”

       แล้วนิฮงโกก็วิ่งตามฮาเซเบะไป พร้อมกับแกล้งเรียก “เฮชิคิริ” ดังๆ จนเจ้าคนที่เดินนำไปก่อนถึงกับค้อนขวับสวนกลับว่าให้เรียก “ฮาเซเบะ” นิฮงโกเห็นแบบนั้นก็ยิ่งชอบใจ

       “เฮชิคิริ~~~~~~”

       “บอกให้เรียก ฮาเซเบะ ไง!!!”

       พอทั้งสองคนเดินห่างออกไป มิคาสึกิก็หันกลับมาฝากฝังเรื่องมิทสึฮิเดะให้ยามัมบะกิริกับยะเก็นจัดการ ส่วนตัวเองจะคอยสังเกตท่าทีของทางฝั่งโนบุนากะเอง

       “เข้าใจแล้ว” ยะเก็นตอบรับสั้นๆ ถึงแม้จะเริ่มตะขิดตะขวงใจกับท่าทีของมิคาสึกิอยู่บ้างก็ตามที ส่วนยามัมบะกิรินิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาจ้องมิคาสึกิอย่างจริงจังราวกับต้องการจะค้นหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจของอีกฝ่าย

       “ยามัมบะกิริ เจ้าก็เหมือนฮาเซเบะหรือ?” มิคาสึกิเอ่ยถาม

       “……ฉันจะทำตามคำสั่งของหัวหน้าทัพ” ยามัมบะกิริตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนเดินนำยะเก็นออกไปก่อน เหลือเพียงโฮเนะบามิที่ได้แต่ยืนมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย

       “รู้สึกว่าเจ้าจะเคยถามว่า จำเป็นต้องปกป้องประวัติศาตร์ด้วยหรือ….สินะ” มิคาสึกิเอ่ย

Screenshot_3

       โฮเนะบามิไม่ตอบ แต่สีหน้าเริ่มแสดงความกังวล

       “ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ดีกว่าเอาแต่กวัดแกว่งดาบโดยไม่คิดอะไรมากทีเดียว เพราะหากเป็นแบบนั้นไปเสีย เจ้าก็คงเป็นเพียงปีศาจร้ายอย่างไรเล่า”

       “ปีศาจร้ายเหรอ….”

       “พวกเราคือดาบที่ถูกตีขึ้นโดยมนุษย์ จึงอาจกลายเป็นปีศาจร้ายได้ขึ้นอยู่กับผู้ครองครอง และจิตใจของคนผู้นั้น” น้ำเสียงมิคาสึกิอ่อนโยนลง “หากแต่โชคดีนัก ที่พวกเรามีนายท่านเป็นผู้ครอบครอง…..”

       “…….” 

        “ข้าคิดว่าเจ้าเองก็คงจะเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ได้ในไม่ช้า” มิคาสึกิยิ้ม “เพียงแต่ระหว่างนั้น เห็นแก่สหายเก่าแก่ผู้นี้ เจ้าจะช่วยมากับข้าหน่อยได้ไหม ข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้าหน่อยน่ะนะ

       “…..เข้าใจแล้ว” โฮเนะบามิตอบรับ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานัก

       “ขอบใจ” มิคาสึกิยิ้มให้ ก่อนจะสาวเท้าเดินนำโฮเนะบามิไป แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นดอกไม้จำนวนหนึ่งถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือเค้าโครงของความสวยงาม มิคาสึกิก้มลงหยิบดอกไม้ที่บอบช้ำขึ้นมามองด้วยแววตาเศร้า

tumblr_e4a1fb3b2a74a30658af466e454d9f26_30dca729_1280

       “ใครบางคนในพวกเราเผลอเหยียบไปเช่นนั้นหรือ…” มิคาสึกิหลุบตาต่ำลง “การปกป้องประวัติศาตร์….ช่างเป็นเรื่องที่ยากนัก….”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ ปราสาทโชริวจิ สถานที่กบดานของอาเคจิ มิทสึฮิเดะ
       
ยะเก็นกับยามัมบะกิริคอยเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวของทัพอาเคจิตามคำสั่งของมิคาสึกิอยู่ห่างออกไปไม่ไกลตัวปราสาทมากนัก

       “จะทำตามคำสั่งของหัวหน้าทัพ…..งั้นรึ” ยะเก็นเอ่ยขึ้น สายตายังคงทอดมองไปทางปราสาท “สมกับเป็นยามัมบะกิริจังนะ แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้”

       “คำสั่งของหัวหน้าทัพ ก็เหมือนคำสั่งของนายท่าน นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” ยามัมบะกิริตอบเสียงเรียบอย่างที่เคย “แต่…..สำหรับนายคงไม่ง่ายขนาดนั้นสินะ”

       “ยังไงเหรอ?”

       “ชายที่อยู่ในปราสาทนั่น จะว่าไปแล้วเขาก็คือศัตรูของเจ้านายเก่าของนายนี่”

Untitled-4

       ยะเก็นได้ฟังก็หัวเราะหึ “อา…..แต่ตัวฉันในตอนนี้รู้เรื่องวาระสุดท้ายของมิทสึฮิเดะล่ะนะ หมอนั่นจะถูกพวกนักล่าขุนพลพ่ายไล่ล่า แล้วจบชีวิตลงในคืนนี้”

       “เท่านั้นก็พอใจแล้วรึ”

       “ก็พูดได้ไม่เต็มปากขนาดนั้นหรอก….” น้ำเสียงยะเก็นเริ่มจริงจัง “ครั้งหนึ่ง…นายท่านเคยบอกฉันเอาไว้ ว่ามนุษย์ที่ชื่ออาเคจิ มิทสึฮิเดะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาตร์ที่ควรปกป้องเท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ฉันปล่อยวางได้”

       ยามัมบะกิริจ้องมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายไม่พูดอะไร ยะเก็นพูดต่อ “แต่ที่จิตใจไม่สงบ…..คงเพราะไม่รู้ว่ามิคาสึกิกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…ล่ะมั้ง”

       “อา….” ยามัมบะกิริเห็นด้วย

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง อาเคจิ มิทสึฮิเดะ และทหารที่เหลืออยู่น้อยนิดก็เริ่มเดินทางหลบหนีออกจากปราสาทโชริวจิ โดยจะมุ่งหน้าไปยังปราสาทซากาโมโตะที่อยู่แคว้นโอมิ พวกเขาใช้เส้นทางผ่านป่าทึบในการหลบหนี ในขณะที่ยามัมบะกิริกับยะเก็นพากันสะกดรอยตามพวกมิทสึฮิเดะไปอย่างเงียบๆ พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา ทำให้ยะเก็นขยับมือจับมีดสั้นที่เหน็บอยู่ตรงเอว ส่วนยามัมบะกิริก็ชักดาบออกมาครึ่งฝักตั้งท่าเตรียมรับมือ

       แต่ผู้ที่ปรากฎกายตรงหน้าพวกเขากลับเป็น มิคาสึกิ มุเนะจิกะ และ โฮเนะบามิ โทชิโร่

       ทั้งสองถอนหายใจโล่งอก แต่ก็แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อย พอถามว่าทำไมสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าตามดูท่าทีของโนบุนากะหรอกหรือ มิคาสึกิก็ตอบว่า ก็เพราะตามโนบุนากะมานี่ล่ะจึงมาถึงนี่

       “อ๊ากกกก”

       ระหว่างที่คุยกันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงแผดร้องดังลั่น ทั้งสี่คนจึงรีบผละจากบทสนทนาหันกลับไปมองทางต้นเสียง ภาพที่เห็นคืออาเคจิ มิทสึฮิเดะ และเหล่าทหารพากันตัวสั่นจนเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น ใบหน้าแสดงถึงความตกใจสุดขีดเมื่อร่างของใครบางคนปรากฎกายขึ้นมาจากเงามืด 

       โอดะ โนบุนากะ

       “น….โนบุนากะ….ยังมีชีวิตอยู่…..!!!” มิทสึฮิเดะเบิกตากว้างตกใจจนแทบสิ้นสติ

       โนบุนากะกระตุกยิ้ม ก่อนเอ่ยถามอดีตขุนพลคนสำคัญของตนด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “มิทสึฮิเดะ รสชาติของใต้หล้าที่เจ้าได้ชิมไปเพียงน้อยนิดเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

       กองทัพข้ามเวลาจำนวนมากปรากฎกายขึ้น มิทสึฮิเดะยิ่งทวีความหวาดกลัวจนน้ำตาเอ่อ

       “ที่เจ้าได้ชิมไปนั่น ข้ายกมันให้เป็นของฝากไปยังปรโลก!!”

       โนบุนากะชักดาบออกมา หันปลายดาบพุ่งเข้าใส่มิทสึฮิเดะทันที

       “โนบุนากะคิดจะฆ่ามิทสึฮิเดะด้วยมือตัวเอง!!” ยามัมบะกิริตกใจ ยะเก็นบอกว่าถ้ามิทสึฮิเดะตายลงตรงนี้มันก็เป็นไปตามประวัติศาตร์อยู่หรอก…. แล้วก็หันไปถามมิคาสึกิว่าที่เล็งไว้คือเรื่องนี้สินะ มิคาสึกิไม่ตอบอะไร สายตาจ้องมองไปที่โนบุนากะ มือซ้ายกระชับดาบแน่น

       พวกทหารของมิทสึฮิเดะถูกกองทัพข้ามเวลาสังหารคนแล้วคนเล่า ส่วนโนบุนากะก็ไล่ตามมิทสึฮิเดะอย่างไม่ลดละ เขาสังหารทุกคนที่เข้ามาขวาง เมื่อมิทสึฮิเดะวิ่งหนีจนมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ และไร้ทางหนี โนบุนากะจึงได้ทีฟาดดาบลงสุดกำลัง แต่อีกฝ่ายยกดาบของตนขึ้นมารับคมดาบได้ทัน ทั้งสองยื้อกันอยู่เพียงอึดใจ ก่อนมิทสึฮิเดะจะเป็นฝ่ายต้านไม่ไหว ถูกโนบุนากะตวัดดาบจนร่วงลงจากมือ มิทสึฮิเดะเซล้มลงก่อนจะชักมีดสั้น อาวุธคู่กายชิ้นสุดท้ายออกมา

       เป็นมีดสั้นที่มีสลักลายมังกรคุริคาระ

       แล้วอยู่ๆท่าทีของมุเมย์ที่คอยตามรับใช้โนบุนากะก็แปลกไป ดวงตาที่เคยสีแดงฉานค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าใส่โนบุนากะ พร้อมกับยกมีดสั้นขึ้นมาตั้งท่าราวกับจะปกป้องมิทสึฮิเดะ

       โนบุนากะหลบการโจมตีของมุเมย์ไปได้หวุดหวิด “มุเมย์! เจ้าทำอะไรของเจ้า!!” 

       ยะเก็นมองดูสถานการณ์อย่างประหลาดใจ 

       “หมายความว่ายังไงเนี่ย!? ทำไมกองทัพข้ามเวลาตัวนั้นถึงได้….”

       ในตอนนั้นเอง อยู่ๆมิคาสึกิก็ชักดาบออกจากฝัก แล้ววิ่งตรงไปทางโนบุนากะอย่างรวดเร็ว

       “มิคาสึกิ!!!” ยามัมบะกิริร้องเรียก

       “หึ….คิดจะฆ่าข้าเอาป่านนี้หรือ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!” โนบุนากะถามมุเมย์ด้วยน้ำเสียงโมโห ในขณะที่มุเมย์ง้างดาบขึ้นหมายจะฟันลงปลิดชีวิตโนบุนากะ มิคาสึกิก็ได้โผล่เข้ามาขวางทางดาบเอาไว้ ยามัมบะกิริ ยะเก็น โฮเนะบามิที่ตามหลังมาติดๆถึงกับชะงักเท้าด้วยความตกใจที่เห็นมิคาสึกิช่วยชีวิตโนบุนากะ

       “ท่านโนบุนากะ เชิญทางนี้” มิคาสึกิส่งสัญญาณให้โนบุนากะหนีตามตนไปอีกทาง 

       “หมายความว่ายังไงกันแน่!!” 

       “มิคาสึกิ!!!” 

       ยะเก็นกับยามัมบะกิริเผลอตัวตะโกนลั่น ทำให้กองทัพข้ามเวลารู้ตัว พวกมันตรงปรี่เข้าโจมตีพวกเขาทันที จังหวะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นทหารของมิทสึฮิเดะที่รอดชีวิตก็รีบพาเจ้านายของตนหลบหนีเข้าป่าไป

       “มิทสึฮิเดะ!!”

       “ไม่ดีแน่!!”

       ยะเก็นกับยามัมบะกิริเห็นมิทสึฮิเดะกำลังหนีไปได้ จึงรีบตวัดดาบใส่กองทัพข้ามเวลาตัวสุดท้ายจนมันสลายกลายเป็นฝุ่น แต่ในขณะที่กำลังจะวิ่งตามมิทสึฮิเดะไป สายฟ้ารุนแรงก็ได้ฟาดผ่าลงมาเบื้องหน้าก่อนจะมีกองทัพข้ามเวลาตนหนึ่งปรากฎกายออกมาจากสายฟ้าอันน่าสะพรึงนั้น รูปร่างของมันใหญ่กว่าตัวอื่นๆราวกับยักษ์ อีกทั้งดาบยังมีความยาวมากกว่าพวกเขาเป็นเท่าตัว

       “โอทาจิ (ดาบใหญ่)!!”

       ยามัมบะกิริจ้องเขม็ง กองทัพข้ามเวลาประเภทโอทาจินั้นแข็งแกร่งกว่ากองทัพข้ามเวลาประเภทอื่นมาก เรียกไดว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก

       “เจ้าพวกดาบทื่อ….ถอยไปซะ….” เสียงแหบแห้งดังมาจากโอทาจิ

       “นั่นมันคำพูดของพวกเราต่างหาก!!” พูดจบยะเก็นก็พุ่งดาบเข้าโจมตีใส่อีกฝ่ายทันทีแต่ก็โดนสวนกลับจนต้องกระเด็นออกมา ทั้งสามผลัดกันเข้าโจมตีโอทาจิอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าจะโจมตีกี่ครั้งก็ดูเหมือนว่าคมดาบไม่อาจทำอะไรมันได้เลย

       “รับมือยากจริงๆด้วย” ยะเก็นกัดฟันกรอด

       โอทาจิมองไปทางมิคาสึกิที่กำลังปกป้องโนบุนากะจากมุเมย์ที่อยู่ไม่ไกลนัก “เจ้ามุเมย์….คลุ้มคลั่งไปแล้วรึ” พูดจบมันก็ตวัดดาบใส่พวกยะเก็นจนกระเด็นออกอย่างแรง แล้วพุ่งเข้าหามุเมย์ทันที 

       มิคาสึกิเห็นโอทาจิกำลังพุ่งมาที่ตน จึงรีบตวัดดาบใส่มุเมย์จนอีกฝ่ายก้มหมอบหลบการโจมตี ก่อนจะรีบพาโนบุนากะหลบเข้าไปในพุ่มไม้ แล้วเรียกม้าออกมาพากันควบหนีไป

       “มิคาสึกิ….” ยะเก็นได้แต่มองตามมิคาสึกิกับโนบุนากะควบม้าไปจนลับสายตา

       “พวกเราถอยทัพกันก่อนเถอะ” ยามัมบะกิริบอก ก่อนที่ทั้งสามจะพากันกระโจนหายเข้าไปในพุ่มไม้

       โอทาจิเดินเข้าหามุเมย์ที่หมอบคู้อยู่

       “มุเมย์….” มือใหญ่ของโอทาจิจับหมับเข้าที่ใบหน้าสวมหน้ากากของมุเมย์อย่างแรงจนดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ดวงตาสีทองของมุเมย์จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนในตอนแรก เมื่อมุเมย์สงบนิ่งลงโอทาจิจึงปล่อยมือ

       “อย่าได้สับสนอีก มุเมย์”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       วันที่ 2 กรกฎาคม 1582
       อาเคจิ มิทสึฮิเดะได้หายไปจากประวัติศาตร์ บ้างก็กล่าวว่าเขาได้ทำการปลิดชีวิตตนเอง บ้างก็กล่าวว่าเขาถูกพวกชาวนาที่คอยปล้นสะดมคนผ่านทางจับได้ แล้วถูกตีเสียจนตาย…

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       หลังจากล่าถอยจากการต่อสู้ ยามัมบะกิริ ยะเก็น โฮเนะบามิเริ่มรู้สึกถึงอาการบาดเจ็บของตนเอง พอได้สำรวจร่างกายดูก็พบว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่คิด ยะเก็นมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่แขนเท่านั้น แต่ยามัมบะกิริมีบาดแผลถูกฟันเข้าที่ไหล่ และเท้าซ้าย ส่วนโฮเนะบามิมีบาดแผลถูกฟันที่กลางหลัง ทั้งสามซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้บนภูเขา รอจนฟ้าสางจึงพากันออกมาริมแม่น้ำเพื่อให้ยะเก็นรักษาบาดแผล

       “ให้ฉันดูแผลดีๆเถอะน่า อีกอย่าง…ผ้านายก็ต้องเอาไปซักนะ”

       ยะเก็นบังคับให้ยามัมบะกิริถอดเสื้อนอก รวมทั้งถุงเท้าออกเพื่อนำไปซัก ส่วนผ้าคลุมนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรเจ้าตัวก็ไม่ยอมถอดเด็ดขาด ยะเก็นเลยปลงตกขอยอมแพ้ เอาเท่าที่ได้ฝากให้โฮเนะบามินำไปซัก ส่วนตัวเองก็กลับมาทำแผลให้ยามัมบะกิริต่อ

       “โทษทีนะที่ทำได้แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตอนนี้ฉันทำได้แค่นี้ล่ะ”

       “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” ยามัมบะกิริตอบ “ที่สำคัญกว่านั้น ปัญหาตอนนี้ก็คือ….”

       “มิคาสึกิสินะ” 

       “มีเหตุผลที่ทำให้โนบุนากะยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนประวัติศาตร์งั้นหรือ?”

Untitled-2

       “เท่าที่ฉันรู้ มิคาสึกิ มุเนะจิกะไม่เคยอยู่ในการครอบครองของท่านโนบุนากะ…” ยะเก็นทำท่าครุ่นคิด ก่อนหันไปถามผู้เป็นพี่ที่อยู่ไม่ไกลนักว่านึกอะไรออกบ้างไหม โฮเนะบามิได้แต่ส่ายหัวเบาๆ

       “….พอเกิดเรื่องแบบนี้ถึงได้เข้าใจ พวกเราเนี่ยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมิคาสึกิเลยนะ” ยะเก็นถอนหายใจ

       “ก็เป็นแบบนั้นมาตลอด เจ้านั่นน่ะ เคยพูดเรื่องตัวเองเสียเมื่อไหร่”

       โฮเนะบามิคอยฟังทั้งสองคนคุยกันอย่างเงียบๆ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ตัดมาที่ศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่งบนภูเขา โนบุนากะรับชามใส่น้ำที่มิคาสึกิยื่นให้มาดื่ม ก่อนเอ่ยถามอีกฝ่าย “เจ้าเองก็เหมือนกับมุเมย์นั่นรึ?”

       “เหมือนกัน…อย่างนั้นหรือ”

       “เป็นผู้ที่ล่วงรู้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงอย่างไรเล่า”

       “โฮ่ เจ้ามุเมย์นั่นบอกท่านถึงขนาดนั้นเชียว”

       “เจ้านั่นบอกว่าข้าน่าจะต้องตายที่ฮอนโนจิไปแล้ว จึงช่วยข้าไว้เพื่อจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ แต่กลับกันแล้ว…พวกเจ้าพยายามจะทำให้ข้าตาย”

       “ไม่ใช่เรื่องเช่นนั้นเลย” มิคาสึกิยิ้มปฏิเสธ

       “อย่าทำไขสือเลยน่า” โนบุนากะยืนขึ้น “เอาเถิด เป็นเพราะเจ้าขังข้าเอาไว้ในห้องด้านในนั่นล่ะนะ เจ้ามุเมย์จึงได้ใช้ทางลับพาข้าหนีออกมาได้”

       “ทางลับ! มีของเช่นนั้นอยู่ด้วยรึ”

       “……ให้ตายสิ เจ้าคิดจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไปถึงไหน”

       มิคาสึกิหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆๆๆๆ นี่น่ะ เพราะข้าเป็นปู่ที่อายุมากกว่าท่านโนบุนากะมากเสียทีเดียว หมู่นี้ก็เลยมีเรื่องที่หลงๆลืมๆเยอะแยะไปหมด”

       ประโยคของอีกฝ่ายชวนให้คนฟังถึงกับไปต่อไม่เป็น เพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ โนบุนากะเลยถามมิคาสึกิว่าเขาต้องการอะไร

       “ข้าเพียงต้องการพาท่านไปยังปราสาทอาสึจิเท่านั้น”

       “ปราสาทอาสึจิ? ข้าไม่ได้คิดหวังเลยนะ” โนบุนากะประหลาดใจ พยายามมองสำรวจบุรุษตรงหน้า แต่ช่างอ่านได้ยากนัก “ช่างเถอะ จนกว่าเจ้าลิง(ฮิเดโยชิ)จะมา ข้าเห็นทีจะต้องพึ่งเจ้าล่ะนะ”

       มิคาสึกิโค้งหัวให้เล็กน้อย

       “แล้วเจ้ามีนามว่าอะไร?”

       “มิคาสึกิ มุเนะจิกะ”

       “หึหึ นามเดียวกับดาบเลื่องชื่อแห่งใต้หล้าเล่มนั้นเลยรึ น่าสนในนัก มุเนะจิกะ” 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       อีกด้านหนึ่ง ฮาเซเบะ กับนิฮงโกได้ไล่ตามกองทัพข้ามเวลาตัวที่โนบุนากะฝากจดหมายเอาไว้จนมาถึงสถานที่ตั้งกองทัพของฮิเดโยชิในที่สุด แต่ช้าไปหนึ่งก้าว กองทัพข้ามเวลานำจดหมายของโนบุนากะส่งถึงมือฮิเดโยชิได้สำเร็จ ฮิเดโยชิเห็นหน้าซองจดหมายก็จำได้ทันที เขารีบไล่ทหารให้ออกไปข้างนอกให้หมด เมื่อเหลือเพียงเขากับกองทัพข้ามเวลาเพียงลำพัง จึงเปิดเนื้อความในจดหมายขึ้นอ่าน

       “รออยู่ที่ปราสาทอาสึจิ…..ท่านใต้เท้างั้นรึ…….? ท่านใต้เท้ายังมีชีวิตอยู่งั้นรึ?  เป็นเช่นนั้นจริงๆรึ?”

       ฮาเซเบะ กับนิฮงโกรีบเขามาขวางการสนทนา บอกฮิเดโยชิว่าอย่าไปเชื่อ พร้อมแต่งเรื่องแกล้งบอกไปว่า กองทัพข้ามเวลาตัวนั้นเป็นทหารรับใช้ของมิทสึฮิเดะที่จะมาเอาชีวิตฮิเดโยชิต่างหาก แต่พูดยังไม่ทันจบคำกองทัพข้ามเวลาตนนั้นก็พุ่งดาบเข้าโจมตีพวกเขา ทั้งสองหลบได้ทันก่อนจะฟันดาบใส่กองทัพข้ามเวลาจนมันสิ้นฤทธิ์สลายกลายเป็นผุยผงไป ฮิเดโยชิที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าถึงกับตกใจร้องลั่นว่าหายไปได้ยังไง นิฮงโกเลยรีบกลบเกลื่อนบอกว่า ฮิเดโยชิตาฝาดไปเอง เจ้านั่นมันโดนฮาเซเบะโยนออกไปข้างนอกด้วยความไวแสงไปแล้ว ไวจนมองไม่เห็นเลยล่ะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Touken Ranbu The Movie

       “อย่างนี้นี่เอง เป็นกลยุทธ์ที่ล่อให้ข้าไปปราสาทอาสึจิโดยตบตาว่าท่านใต้เท้ายังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นล่ะสินะ”

       ฮิเดโยชิสรุปหลังจากฟังเรื่องราว(ที่แต่งขึ้น)ของนิฮงโก กับฮาเซเบะจบ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าฮิเดโยชิจะเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด ทั้งเรื่องของจดหมาย และเรื่องที่โนบุนากะตายไปแล้ว

       “แต่อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องไปปราสาทอาสึจิอยู่ดี”

       “เอ๋?” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน ฮิเดโยชิพูดต่อ “ข้าได้ข่าวจากทหารสอดแนมว่าอาเคจิ ซามาโนะสุเกะ ออกจากปราสาทอาสึจิไปแล้ว แต่จากเรื่องที่คุยกับพวกเจ้าเมื่อสักครู่ ข้าคิดว่านั่นก็น่าจะเป็นเรื่องตบตาเช่นกัน ปราสาทอาสึจิเปรียบเสมือนเป็นปราสาทของท่านใต้เท้า จะให้ถูกใช้เท้าเหยียบย่ำทำให้เสียหายไม่ได้”

       ฮาเซเบะพยายามขัด แต่เจ้าตัวไม่ฟัง บอกว่าหลอกมาก็ต้องหลอกกลับ เขาจะทำทีว่าถูกล่อให้เดินทัพออกไป ไม่ให้ใครรู้ว่าเดินทัพเพื่อทำศึก หนำซ้ำยังเอ่ยชวนพวกเขาให้ร่วมเดินทัพไปด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 電影刀劍亂舞

       “ฝีมือของพวกเจ้าเมื่อสักครู่ไม่ใช่เป็นเพียงคนธรรมดาแน่ ในฐานะที่พวกเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะจ้างพวกเจ้าเป็นกรณีพิเศษ”

       “ไม่หรอก พวกข้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่บังเอิญผ่านมาก็เท่านั้น” นิฮงโกรีบปฏิเสธ

       “เดิมทีข้าก็เป็นเพียงชาวนาธรรมดาๆเช่นกัน อย่าใส่ใจเลยน่า ว่าแต่…พวกเจ้าชื่ออะไรกันรึ”

       ฮาเซเบะกับนิฮงโกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บอกว่าพวกเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ฮิเดโยชิพอเห็นดังนั้นก็หัวเราะไม่ขอเซ้าซี้ เดินออกไปเรียกทหารที่รออยู่ด้านนอกเพื่อทำการประชุมศึก

       “ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้” ฮาเซเบะหันมาถามนิฮงโก เห็นทีว่าตอนนี้ทั้งสองคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องติดสอยห้อยตามฮิเดโยชิไปตามคำชวนเท่านั้น

       “เอาน่า พวกเราติดตามท่านฮิเดโยชิไปก็เป็นทางเลือกที่ดีอยู่ ท่านโนบุนากะกับกองทัพข้ามเวลาจะต้องอยู่ที่นั่นไม่ผิดแน่” 

       ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น นิฮงโกสังเกตุเห็นนกสีขาวตัวหนึ่งบินเข้ามาเกาะที่ปลายหอกของเขา ที่ขาของมันมีท่อเล็กๆผูกติดอยู่ ด้านในท่อมีกระดาษแผ่นเล็กๆม้วนอยู่ข้างใน เขาจำได้ทันทีว่านกตัวนั้นคือนกส่งสาสน์ของโทวเคนดันชิ จึงรีบแกะจดหมายออกแล้วกวาดสายตาอ่านเนื้อความข้างใน

       “อะไรกันเนี่ย!!”

       “มีเรื่องอะไร?” ฮาเซเบะถาม นิฮงโกจึงยื่นจดหมายให้อ่าน

       “นี่มัน…..มิคาสึกิกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงช่วยโนบุนากะกัน ถ้าฮิเดโยชิเจอโนบุนากะล่ะก็….ประวัติศาสตร์ได้พลิกไปแน่”

       “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า….” นิฮงโกนึกไปถึงเรื่องที่ได้ยินมิคาสึกิกับอุกุยสึมารุคุยกันตอนนั้น “มิคาสึกิอาจกำลังแบกรับอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ อย่างเช่น….เรื่องของนายท่าน…”

       “ก็แล้วทำไมถึงไม่บอกพวกเราเล่า โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องนายท่านล่ะก็!!”

       “นั่นสินะ เอาเถอะ ตอนนี้ก็คิดในแง่ดีไว้ก่อนเถอะ ส่วนในแง่ร้าย….” นิฮงโกนิ่งเงียบไป ฮาเซเบะพยายามถามแต่ก็ได้คำตอบกลับมาเพียงแค่ว่า “ข้าไม่อยากพูด”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

        ยะเก็น ยามัมบะกิริ โฮเนะบามิยังคงปักหลักกันอยู่ริมแม่น้ำเพื่อรอให้ผ้าที่ซักแห้งดี ระหว่างรอก็นั่งคุยถึงแผนการต่อไปว่าจะเอายังไงต่อ สักพักนกส่งสารสีขาวที่พวกตนส่งไปหาพวกฮาเซเบะก็บินกลับมา ยะเก็นรีบแกะจดหมายขึ้นอ่าน ก่อนจะสรุปให้คนอื่นฟัง

       “จากนิฮงโกล่ะ บอกว่าฮิเดโยชิกำลังมุ่งตรงไปที่ปราสาทอาสึจิ ดูเหมือนว่าท่านโนบุนากะจะอยู่ที่นั่นด้วย”

       “ถึงมีกันแค่นี้ พวกเราก็ต้องทำ” ยามัมบะกิริตัดสินใจ “เพราะคำสั่งของนายท่านคือการลอบสังหารโอดะ โนบุนากะ” 

       “แล้ว…ถ้ามิคาสึกิเข้ามาขวางล่ะ?” ยะเก็นถาม ยามัมบะกิริเลื่อนมือขึ้นจับที่ดาบของตนเป็นคำตอบ

       “ยะเก็น ยามัมบะกิริ” โฮเนะบามิถือเสื้อผ้าที่แห้งดีแล้วส่งคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ “แห้งแล้วล่ะ”

       ทั้งสองรับมา

       “ไปกันเถอะ”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ภาพตัดกลับมาที่มิคาสึกิกับโนบุนากะ พวกเขาควบม้ามาถึงปราสาทอาสึจิอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะพากันขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของปราสาท 

       “เป็นอย่างไร มุเนะจิกะ ที่นี่คือจุดชมทิวทัศน์แห่งใต้หล้า ปราสาทอาสึจิอย่างไรเล่า” โนบุนากะกล่าวอย่างภาคภูมิ “ข้าสั่งให้สร้างที่นี่ขึ้นมา ไม่ใช่ในฐานะปราสาทสำหรับทำสงคราม แต่เป็นปราสาทสำหรับการครองใต้หล้านี้”

       “เช่นนั้นหรือ”

       เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบกลับ โนบุนากะจึงเปลี่ยนเรื่อง

       “นี่ มุเนะจิกะ….ที่เจ้าพูดว่า ประวัติศาตร์ที่ถูกต้อง มันคืออะไรกัน เรื่องแบบนั้นมันมีด้วยรึ”

       มิคาสึกิไม่ตอบ

       “ที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เช่นนี้ ทั้งเรื่องนี้ ทั้งตอนนี้…มันไม่ใช่ประวัติศาตร์ที่ถูกต้องรึ?”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       “คำว่า ความถูกต้อง เป็นเพียงคำที่มีความหมายไว้แค่สำหรับบางคนเท่านั้น”

       “หึ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ผิดแน่….นี่จะเป็นประวัติศาตร์ที่ถูกต้องสำหรับข้า”

       มิคาสึกินิ่งไป โนบุนากะเห็นดังนั้นจึงชอบใจที่เห็นอีกฝ่ายเถียงไม่ออก

       “ที่เหลือก็รอให้เจ้าลิงมาถึงเท่านั้น…”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ ฮงมารุ

       ฟุโดที่ถูกมอบหน้าที่ให้เฝ้าฮงมารุกำลังเดินล่องลอยไปตามเฉลียง พลางยกเหล้าหวานของโปรดในมือขึ้นดื่มอย่างสบายใจ ทว่าจู่ๆก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆคล้ายเสียงไฟช็อตดังมาจากท้องฟ้า เจ้าตัวจึงยื่นหน้าอออกไปพ้นหลังคา แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

       เขตม่านพลังที่เคยสงบนิ่ง บัดนี้บังเกิดรอยร้าวขึ้นจำนวนมาก

       “อะไรเนี่ย!?” ฟุโดตกใจ รีบวิ่งไปยังห้องของซานิวะที่อยู่ชั้นบนทันที ก่อนจะพบกับอุกุยสึมารุที่ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู

       “อุกุยสึมารุ เขตม่านพลังมันกำลัง…..อย่าบอกนะว่าประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปแล้วน่ะ!?”

       “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง” อุกุยสึมารุตอบอย่างใจเย็น

       “แต่เรื่องนี้ต้องบอกให้นายท่านรู้…..” ฟุโดทำท่าจะเข้าไปในห้องซานิวะ แต่อุกุยสึมารุยื่นมือมาขวางไว้

       “ไม่ได้”

       “ทำไมเล่า!”

       “นายท่านไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ”

       ฟุโดไม่ฟัง เขาสะบัดมืออีกฝ่ายออก แล้วเปิดประตู

       “นายท่าน! อ๊ะ!!!!”

       ทันที่ประตูเปิดออก แสงสว่างจ้าก็สาดมาจากด้านหลังม่านไม้ไผ่จนฟุโดชะงักด้วยความตกใจ อุกุยสึมารุรีบเลื่อนปิดประตูทันที

       “เกิดอะไรขึ้นกันแน่….. นายท่านเป็นอะไร!? อุกุยสึมารุ!!!”

       อุกุยสึมารุชักสีหน้าเครียด ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ทางด้านฮาเซเบะ กับนิฮงโกก็กำลังปฏิบัติภารกิจคอยคุ้มกันฮิเดโยชิที่กำลังอาบน้ำพุร้อนอยู่ในถ้ำอย่างสบายใจเฉิบ

       “ปราสาทอาสึจิอยู่ตรงหน้าเราแล้วนะ นี่ใช่เวลาที่พวกเราจะมัวสบายใจอยู่กับฮิเดโยชิเรอะ” ฮาเซเบะกระซิบพยายามไม่ให้ฮิเดโยชิได้ยิน

       “ก็ถึงได้ถ่วงเวลาอยู่นี่ไง จะให้ท่านโนบุนากะกับท่านฮิเดโยชิพบกันไม่ได้ใช่ไหมเล่า พวกยามัมบะกิริก็กำลังหาทางกันอยู่ พวกเราเองก็ต้องคิดเรื่องที่ทำได้ล่ะนะ”

       “หรือไม่พวกเราก็รีบไปถึงที่หมายก่อน แล้วชิงฆ่าโนบุนากะซะ”

       “ฆ่ามิคาสึกิด้วยเรอะ”

       ฮาเซเบะทำสีหน้าลังเลชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจ  “ถ้ามันจำเป็นล่ะนะ”

       “ถ้าจำเป็นสินะ….”

       “พวกเจ้ากระซิบกระซาบอะไรกัน” ฮิเดโยชิตะโกนถาม นิฮงโกรีบปฎิเสธว่าไม่มีอะไร แต่จู่ๆฮิเดโยชิที่กำลังแช่น้ำอยู่ก็ลุกขึ้นหันหลังให้พวกฮาเซเบะ

       “พวกเจ้าเห็นปานแดงใหญ่บนก้นของข้าไหม นี่ล่ะที่ทำให้ข้าถูกเรียกว่า “ลิง””

       “อ่อ” นิฮงโกเออออเข้าใจ แต่ในใจก็แอบคิดว่าที่ฮิเดโยชิถูกเรียกว่าลิงจะเป็นเพราะหน้าตาเขาเสียอีก เรื่องนี้ไม่พูดออกไปจะดีกว่า

       “คิดว่าเป็นเพราะหน้าตาซะอีก—” ผู้ที่ปากไวไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เฮชิคิริ ฮาเซเบะ ปากไวเสียจนนิฮงโกต้องรีบเอาศอกกระทุ้งเจ้าตัวเบาๆ

       “หึ ผู้ที่รู้เรื่องนี้มีเพียงท่านใต้เท้าเท่านั้น ตอนที่มาอาบน้ำพุร้อนด้วยกันที่นี่อย่างไรเล่า” พลันสีหน้าของฮิเดโยชิเยือกเย็นลงแม้ปากจะยังยิ้ม “จดหมายนั่นมาจากท่านใต้เท้าไม่ผิดแน่”

       “!?” ฮาเซเบะกับนิฮงโกสะดุ้งเฮือก ความจริงแล้วฮิเดโยชิมั่นใจตั้งแต่แรก ว่าจดหมายนั่นส่งมาจากโนบุนากะ หน้าซองที่เขียนว่า “ถึงเจ้าลึงก้นแดง” นั่นถือเป็นหลักฐานอย่างดี เพราะมีเพียงโนบุนากะเท่านั้นที่รู้ว่าเขามีปานแดงใหญ่อยู่ที่ก้น

       “ท่านใต้เท้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”

       ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นิฮงโกเลยรีบบอกไปว่าไม่ใช่หรอก เจ้านั่นเป็นทหารของมิทสึฮิเดะต่างหาก แต่พูดยังไม่ทันจบคำก็ถูกฮิเดโยชิตัดบท

       “อย่าทำเป็นไขสือเลย ข้าอยากรู้ว่าพวกเจ้าเป็นใครถึงได้รู้เรื่องนี้ แต่มาถึงตอนนี้แล้วก็ช่างมันเถอะ”

       ฉับพลันสีหน้าของฮิเดโยชิก็เปลี่ยนเป็นดุดันจนน่ากลัว

       “ข้าจะไปปราสาทอาสึจิ…แล้วสังหารโอดะ โนบุนากะซะ!!”

       “หา!!!”

       “อยู่กับพวกเจ้าสนุกดี แต่คงต้องลาขาดกันตรงนี้แล้ว”

       ปัง!

      เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ฮาเซเบะรีบกระโจนผลักนิฮงโกออกให้พ้นจากวิถีกระสุน ทำให้ลูกปืนนัดนั้นพุ่งตรงเข้าที่บ่าของเขาอย่างจัง

       “ฮาเซเบะ!!!!!!!!!” นิฮงโกตะโกนลั่น

       เลือดสีแดงไหลอาบลงตามแขน ฮาเซเบะจับที่บ่าของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด

       ทันใดนั้นเองนินจาจำนวนนับสิบนายก็โผล่เข้ามาเข้าโจมตีพวกเขาแบบไม่ทันตั้งตัว 

       “ฮิเดโยชิ! ทำไมท่านถึงจะฆ่าโนบุนากะ!?!” ฮาเซเบะตะโกนถามฮิเดโยชิที่กำลังแช่น้ำต่อไม่ทุกข์ร้อน มือยังคงกวัดแกว่งดาบสู้กับศัตรูที่เข้ามาอย่างไม่ลดละ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ ทั้งสองรู้ดีว่าขืนสู้ต่อไปก็มีแต่เสียเปรียบ จึงตัดสินใจแหวกวงล้อมศัตรูแล้วหลบหนีไป

       “ในตอนนั้นข้าเห็นมันแล้วน่ะสิ…….ใต้หล้าน่ะ” ฮิเดโยชิพึมพำ นึกถึงตอนที่ตนเองได้มองท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่ 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ณ ปราสาทอาสึจิ
       ในที่สุดกองทัพของฮิเดโยชิก็เดินทางมาถึง

       “มาแล้วรึ ว่องไวสมกับเป็นลิงจริงๆ” โนบุนากะยิ้มพึงพอใจ

       มิคาสึกิมองลงไปด้านล่างเห็นทหารของกองทัพของฮิเดโยชิค่อยๆทยอยเคลื่อนพลเข้ามายังตัวปราสาท เขาจึงเดินออกมาห่างออกจากหน้าต่างเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงคุกเข่าเบื้องหน้าโนบุนากะ สองมือวางหน้าเข่าอย่างสำรวม

       “หน้าที่ของข้าจบลงเพียงเท่านี้” มิคาสึกิเอ่ย

       “มุเนะจิกะ ตอบข้ามา นี่คือประวัติศาตร์ที่ถูกต้องสำหรับเจ้าหรือ?”

       มิคาสึกิเงยหน้าขึ้นมอง

       “ตอบข้ามาสิ”

       ในตอนนั้นเอง เสียงโห่ร้องของทหารจำนวนมากได้ดังขึ้นมาจากด้านนอก โนบุนากะชะเง้อมองลงไปด้านล่างก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นทหารของฮิเดโยชิพังประตูปราสาทเข้ามา อีกทั้งภายนอกยังมีทหารอีกนับร้อยกำลังง้างธนูไฟยิงเข้าใส่ตัวปราสาท

       “เผามันซะ! ทำลายคนของอาเคจิที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก! อย่าให้เหลือแม้กระทั่งกระดูก!!!” ฮิเดโยชิประกาศกร้าว 

       “ไอ้เจ้าลิงนั่น มันคิดจะทำอะไร!!” โนบุนากะสีหน้าบูดเบี้ยว ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ “หรือว่า…” เขาหันกลับมาจ้องเขม็งใส่มิคาสึกิที่ยังคงเอาแต่จ้องกลับมาที่เขาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

       “นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแต่เดิมรึ!!” โนบุนากะตวาดลั่น “ตอบข้ามา มิคาสึกิ! แล้วที่บอกว่าข้าตายที่ฮอนโนจินั่นเล่า!!!”

       “ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องสำหรับทุกคน……ใช่ว่าจะเป็นความจริงเสมอไป” มิคาสึกิตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เพราะในประวัติศาสตร์อันยาวนานยังมีประวัติศาตร์ที่ถูกกลบฝัง ราวกับถูกทาทับด้วยน้ำหมึกสีดำอยู่ด้วยอย่างไรเล่า”

       โนบุนากะนิ่งไป มิคาสึกิจึงพูดต่อ

       “แต่เรื่องที่ท่านปลิดชีวิตตนนั้นไม่ผิด…..เพียงแต่ไม่ใช่ที่ฮอนโนจิ”

       “แล้วมันที่ไหนกัน….” โนบุนากะกล่าวอย่างไม่เชื่อหู

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ทันทีที่ยามัมบะกิริ ยะเก็น และโฮเนะบามิวิ่งมาถึงเมืองเล็กก่อนถึงตัวปราสาทต่างก็ต้องตกตะลึงกับภาพของปราสาทอาสึจิที่กำลังถูกไฟลุกไหม้ ทั้งยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับควันไฟสีดำที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ 映画刀剣乱舞

       “เกิดอะไรขึ้น!?” ยามัมบะกิริมองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

       “ฝีมือของท่านฮิเดโยชิ เขาคิดจะฆ่าท่านโนบุนากะน่ะสิ!!” นิฮงโกกับฮาเซเบะตามมาสมทบพอดี

       ขณะที่ยะเก็นกำลังมองภาพเปลวไฟที่กำลังลุกโหมกระหน่ำตัวปราสาทอาสึจิอยู่นั้น ภาพบางอย่างก็ได้วิ่งเข้ามาในหัว เขารู้สึกราวกับจะนึกเรื่องอะไรบางอย่างที่มันเลือนลางมากๆขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขารู้สึกว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องนึกให้ออก สายตาของยะเก็นจ้องเขม็งเข้าไปในเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

       “นั่นมัน….”

       อยู่ๆยะเก็นก็รู้สึกร้อนเหมือนถูกไฟแผดเผาไปทั้งตัว ปวดหัวตุบๆแทบระเบิดจนต้องเอามือกุมไว้

       “เป็นอะไรรึเปล่า” ยามัมบะกิริเห็นยะเก็นมีท่าทีแปลกๆจึงเอ่ยถาม ยะเก็นยังคงจ้องเข้าไปในเปลวเพลิงอย่างไม่ละสายตา ภาพปราสาทที่เห็นแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง แล้วบิดเบี้ยวโย้เย้ไปมา ก่อนที่ภาพบางอย่างจะค่อยๆแจ่มชัดขึ้นในความทรงจำ

       “ฉันลืมเรื่องสำคัญไป….”

       ยะเก็นค่อยๆปะติดปะต่อความทรงจำที่ผุดขึ้นมาในหัว เขาเห็นภาพโนบุนากะที่นั่งอยู่ในห้องที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงกำลังชักมีดสั้นยะเก็น โทชิโร่ออกมาจากฝัก เพียงแต่…ห้องนั้นไม่ใช่ห้องที่ไร้สิ่งประดับตกแต่งเหมือนอย่างที่ฮอนโนจิ ภาพที่เข้ามาในหัวคือห้องที่มีเสาสีทองมันวาว อีกทั้งยังประดับประดาไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้สีทองอร่าม ภาพวาดบนผนังที่กำลังถูกเปลวเพลิงแผดเผาค่อยๆแจ่มชัดขึ้น

       “ฉัน….ไม่ได้…..ถูกไฟไหม้……ที่ฮอนโนจิ”

       ยะเก็นเบิกตากว้าง ก่อนตะโกนลั่น

       “แต่เป็นปราสาทอาสึจิ!!!”

       ดาบทั้ง 4 เล่มตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ยะเก็นที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราวได้จึงเริ่มเล่าว่า ในคืนที่เกิดเหตุการณ์ฮอนโนจินั้น โมริ รันมารุที่เต็มไปด้วยบาดแผลได้พยายามประคองตัวเองไปหาโนบุนากะในห้องเก็บของอย่างทุลักทุเล เขาดึงเสื่อทาทามิผืนหนึ่งออก ก่อนจะเปิดแผ่นไม้ขึ้น เผยให้เห็นทางลับลงไปใต้ดิน โมริ รันมารุขอร้องให้นายของตนใช้ทางนี้เพื่อหลบหนี โนบุนากะเห็นแกบ่าวคนสนิทจึงยอมหนีไป

       “ท่านโนบุนากะหลบหนีออกจากฮอนโนจิโดยใช้ช่องทางหนีที่โมริ รันมารุเปิดให้ ส่วนโมริ รันมารุก็เสียสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องทางหนีนั้น ทำให้โนบุนากะสามารถหลบหนีไปกบดานที่ปราสาทอาสึจิพร้อมกับทหารที่เหลือเพียงน้อยนิดได้สำเร็จ แล้วหลังจากนั้นก็แอบให้คนส่งสารนำจดหมายส่งถึงฮิเดโยชิ….แต่ทว่าฮิเดโยชิตั้งใจจะขึ้นครองใต้หล้าอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่สนใจจดหมายที่โนบุนากะส่งมา เขายกทัพเข้าบุกล้อมปราสาทอาสึจิโดยอ้างว่าจะถอนรากถอนโคนทัพของอาเคจิให้หมดสิ้น ดังนั้นท่านโนบุนากะจึงได้ทำการปลิดชีวิตตนเองที่นี่….” ยะเก็นนิ่งไปอึดใจ “นี่เป็น…ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง”

       “สรุปก็คือ ประวัติศาสตร์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย…” ยามัมบะกิริเอ่ย สิ่งที่ได้ฟังทำให้เขาอึ้งอยู่ไม่น้อย โทวเคนดันชิที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันอึ้งกับความจริงจนพูดอะไรไม่ออก

       เช่นเดียวกับโนบุนากะ เขานิ่งอึ้งไปหลังจากที่ได้ฟังประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของตนจากปากมิคาสึกิ

       “ทำไม….ถึงมีเพียงเจ้าที่รู้เรื่องนี้”

       มิคาสึกิตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าคือสิ่งที่ท่านเคยปรารถนาจะครอบครองเมื่อครั้งหนึ่ง……ถูกตระกูลโชกุนส่งมอบให้แด่ท่านฮิเดโยชิเพื่อเป็นรางวัลแห่งชัยชนะในการต่อสู้ที่ยามาซากิอย่างไรเล่า” 

       สิ่งที่ตัวข้าเคยปรารถนางั้นหรือ….โนบุนากะครุ่นคิด ก่อนเบิกตากว้าง

       “….มิคาสึกิ…..มุเนะจิกะ!”

       “ท่านโนบุนากะ” มิคาสึกิเงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษเบื้องหน้า “ที่แห่งนี้คือสถานที่สุดท้ายของท่าน”

       “เจ้า….เจ้า….มุเนะจิกะ!!” โนบุนากะตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาชักดาบออกจากฝัก แล้วจ่อไปที่ต้นคอคนตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยังคงสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวคมดาบของเขาเลยสักนิด

tumblr_7a2a4a26139df24a9d26004ee6ef11c8_b5a0683f_2048

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ด้านนอกปราสาท ทหารของฮิเดโยชิยังคงทำการโจมตีปราสาทต่อไป

       “ท่านใต้เท้า! สิ่งที่ท่านไม่เคยได้ครอบครอง ลิงก้นแดงผู้นี้จักขอรับไปทั้งหมดเองขอรับ!!” ฮิเดโยชิประกาศกร้าว พร้อมชักดาบเล่มที่เพิ่งได้รับมาออกจากฝักดาบสีทองแล้วยกชูขึ้นสูง ดาบเล่มนั้นมีคมดาบลักษณะบาง มีโค้งที่สง่างามตั้งแต่จากส่วนปลายลงมาถึงส่วนครึ่งล่างของดาบ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบใบดาบเผยให้เห็นลายฮามอนรูปจันทร์เสี้ยวจำนวนมาก เป็นดาบใหญ่ที่แสนงดงาม

       ดาบเล่มนั้นคือ…มิคาสึกิ มุเนะจิกะ

       ด้วยเหตุนี้เอง มิคาสึกิ มุเนะจิกะในตอนนั้นจึงได้เห็น “ประวัติศาตร์ที่ถูกต้อง” 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       พวกยะเก็นรีบวิ่งมาจนถึงปราสาทอาสึจิ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่ามิคาสึกิไม่ใช่คนทรยศ 

       “….เรื่องที่มิคาสึกิแบกรับมาตลอดคือเรื่องนี้เองสินะ….เพราะถ้าหากประวัติศาตร์เบื้องหลังแบบนั้นเปิดเผยสู่เบื้องหน้าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ยิ่งถ้าถูกกองทัพข้ามเวลาเปลี่ยนแปลงมันล่ะก็ ก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่เข้าไปอีก” นิฮงโกเข้าใจทุกอย่าง

       “ไม่ใช่ว่าไม่ยอมพูด แต่พูดไม่ได้…..” ฮาเซเบะกำหมัดแน่นอย่างเจ็บใจ “เพราะยิ่งมีคนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นอันตราย…”

       ตอนนี้พวกเขาต้องหาทางเข้าไปในตัวปราสาทให้ได้ เพราะด้านหน้าปราสาทมีทหารหลายสิบนายของฮิเดโยชิเฝ้าประตูอยู่ แต่ในตอนนั้นเองอยู่ๆท้องฟ้าก็เกิดมืดครึ้มไปด้วยเมฆสีดำทะมึน พร้อมกับมีเสียงฟ้าร้องสลับกับประกายฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างผิดวิสัย

       “พวกมันมากันแล้ว!!” ยามัมบะกิริตะโกน ทุกคนกระชับดาบของตนเตรียมพร้อม

       ดาบหลายสิบเล่มร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า ปักลงพื้นดินบริเวณลานกว้างที่พวกเขาอยู่ หมอกไอชั่วร้ายสีดำมืดจะลอยฟุ้งไปทั่ว ก่อนปรากฎเป็นร่างของกองทัพข้ามเวลาเข้าโจมตีทหารที่อยู่บริเวณนั้น

       “ไม่ว่ายังไงพวกมันก็จะทำให้ท่านโนบุนากะมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้สินะ” ยะเก็นกระชับมีดแน่น

       “ต่อจากนี้ล่ะ ประวัติศาตร์จะได้พลิกไปจริงๆแน่!!” ฮาเซเบะตะโกนลั่น ยามัมบะกิริให้สัญญาณ “ลุยกันเถอะ!”

       ดาบทั้ง 5 เล่มชักดาบของตนออกจากฝัก พร้อมกระโจนเข้าต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะฟันไปมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนศัตรูจะไม่หมดลงง่ายๆ ยะเก็น ยามัมบะกิริ และโฮเนะบามิจึงส่งสัญญาณบอกฮาเซเบะว่าพวกเขาจะไล่ตามกองทัพข้ามเวลาที่บุกเข้าไปในตัวปราสาทไปก่อน เพราะถ้าอยู่ที่นี่กันหมดอาจจะไม่ทันการ ฮาเซเบะกับนิฮงโกจึงรับหน้าที่ต้านกองทัพข้ามเวลาอยู่บริเวณลานกว้าง

       แม้จะยังคงเจ็บปวดบาดแผลที่ถูกยิงตรงไหล่ซ้าย แต่ฮาเซเบะก็ยังกัดฟันต่อสู้รับมือกับกองทัพข้ามเวลาทั้งซ้ายขวาที่โจมตีเข้ามาไม่หยุดหย่อน เขากระโดดหลบวิถีหอกของศัตรูตัวสุดท้ายก่อนจะสวนแทงเข้าไปที่ท้องมันเต็มแรง มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกลายเป็นฝุ่นผงสลายไป หลังจากแน่ใจว่าไม่มีศัตรูอยู่บริเวณนั้นแล้ว ทั้งสองจึงรีบวิ่งตามเข้าไปด้านในบริเวณที่เรียกว่าฮงมารุของปราสาททันที แต่ทว่า….ที่นั่นกลับมีกองทัพข้ามเวลาอยู่จำนวนมากกว่าเมื่อสักครู่เป็นเท่าตัว

       ทั้งสองกระชับดาบในมือแน่น แล้ววิ่งเข้าไปประจันหน้าศัตรูทันที

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       เสียงตะโกนร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นอีกระลอก เรียกความสนใจของโนบุนากะให้หันไปมองนอกหน้าต่าง

       “กองทัพของมุเมย์สินะ…พวกมันหันกลับมาปกป้องข้าอีกแล้วงั้นรึ”

       “เช่นนั้น…ข้าต้องขอตัวไปยับยั้งเจ้าพวกนั้นก่อน”

       “ด้วยตัวคนเดียวน่ะรึ” โนบุนากะถาม

       “เห็นที…คงลากเลือดหน่อยล่ะนะ” มิคาสึกิยิ้มก่อนจะค่อยๆลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องไป 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ระหว่างนั้น ยะเก็น โฮเนะบามิ ยามัมบะกิริ ฮาเซเบะ และนิฮงโกต่างกำลังง่วนกับการต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาอยู่ด้านล่างปราสาท ในตอนแรกโฮเนะบามิค่อนข้างต่อสู้อย่างทุลักทุเล เพราะยังไม่คุ้นชินกับร่างกายมนุษย์ที่เพิ่งได้รับมา แต่ไม่นานนักเขาก็สามารถปรับสมดุล และทำความคุ้นชินกับตัวเองได้ เขาเบี่ยงตัวหลบศัตรูที่พุ่งเข้ามา ก่อนอาศัยความเร็วกว่าใช้ดาบแทงผ่านร่างศัตรูจนมันพ่ายแพ้และสลายไป พอมองไปรอบๆก็เห็นยามัมบะกิริกำลังต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาตัวอื่นอยู่ ถัดไปไม่ไกลนัก ฮาเซเบะกับนิฮงโกกำลังยืนหันหลังชนกันแล้วต่อสู้กับศัตรูอยู่เช่นกัน

       เสียงของมิคาสึกิดังขึ้นมาในหัว

       —ข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้า—

       โฮเนะบามิเม้มปากแน่น กระชับดาบในมือ ก่อนจะกระโจนผ่านตัวยามัมบะกิริ พุ่งแหวกเข้าตรงกลางระหว่างฮาเซเบะกับนิฮงโกจนชนพวกเขาแยกออกจากกัน แล้ววิ่งเข้าไปข้างในปราสาทอย่างรวดเร็ว

       “เดี๋ยวก่อน! ไปคนเดียวไม่ไหวหรอก!” ยามัมบะกิริตะโกนห้าม แต่ก็ไม่สามารถตามไปได้ เพราะโดนศัตรูตัวอื่นพุ่งเข้าโจมตีมาอีกจึงต้องประดาบต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ ยะเก็นกระโจนออกมาจากด้านหลังฟาดดาบใส่ศัตรูสองสามตัว แล้วพยายามวิ่งตามโฮเนะบามิไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมุเมย์ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าขวางทางเขาเอาไว้

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       หลังจากที่แยกจากโนบุนากะ ระหว่างที่มิคาสึกิเดินกำลังลงมาถึงชั้นสามของปราสาทก็พบเข้ากับกองทัพข้ามเวลาจำนวนหนึ่งบุกขึ้นมาพอดี “ให้ตายสิ ต่อให้บอกพวกเจ้าไปสักกี่ครั้ง ก็ยังไม่ยอมถอดรองเท้าอยู่ดีสินะ” แม้น้ำเสียงจะดูติดสบายๆเหมือนเช่นทุกที แต่แววตากลับดูจริงจัง เขาพุ่งเข้าโจมตีกองทัพข้ามเวลาที่จู่โจมเข้ามาทีละตัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่โฮเนะบามิที่เข้ามาถึงตัวปราสาทก่อนคนอื่นจะมาพบเข้า แล้วเข้ามาช่วยมิคาสึกิอีกแรง

       “โฮเนะบามิ มาแล้วรึ” มิคาสึกิเอ่ยทัก โฮเนะบามิเก็บดาบเข้าฝัก ก่อนหยิบถุงผ้าสีน้ำตาลออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้

        “มิคาสึกิ นี่….”

        “ขอโทษที่ข้ารบกวนเรื่องยุ่งยากนะ” มิคาสึกิยิ้มรับถุงมาเก็บไว้กับตัว “เอาล่ะ ตรงนี้คงไม่มีอะไรแล้ว พวกเรารีบไปกัน—-“

       มิคาสึกิเบิกตากว้าง เมื่อโอดะ โนบุนากะปรากฎกายขึ้นตรงหน้าพร้อมกับใช้ดาบจ่อเข้าที่คอโฮเนะบามิจากด้านหลัง

klj

       “มุเนะจิกะ พาข้าออกไปจากที่นี่ซะ”

       โฮเนะบามิพยายามขัดขืน แต่ไม่เป็นผล

       “ทำไม่ได้” มิคาสึกิปฏิเสธเสียงหนักแน่น

       “มุเนะจิกะ!!”

       “ข้าทำไม่ได้!!”

       “ทำไมกัน! ข้าไม่คิดว่าการเปลี่ยนประวัติศาตร์มันจะผิดตรงไหน ข้าจะเปลี่ยนมันให้ดู แล้วจากนี้ไปมันจะกลายเป็นประวัติศาตร์ที่ถูกต้องซะยิ่งเสียกว่าตอนนี้อย่างไรเล่า!!” 

       มิคาสึกิสีหน้าจริงจัง

       “…..ประวัติศาตร์คงเป็นตามที่ท่านว่า เพียงแต่….จะมีผู้คนมากมายที่ต้องสิ้นชื่อไปเพราะเหตุนั้นด้วย”

       “นั่นมันก็ช่วยไม่ได้ ก็เหมือนกับทหารที่ทำศึกในสงครามอย่างไรเล่า มันไม่ส่งผลอะไรใหญ่โตนักหรอก

       “ใช่ มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง….” มิคาสึกิสงบนิ่ง นึกถึงดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำจนบอบช้ำบนภูเขาในตอนนั้น “แต่เมื่อกาลเวลายาวนานล่วงเลยผ่านไป สิ่งต่างๆเหล่านั้นก่อกำเนิดความรู้สึกรักใคร่ขึ้นมามากมาย ในอดีต…ตัวข้ามีแต่ได้รับการประคบประหงม แต่ในตอนนี้…ข้ากลับมีแต่สิ่งอยากปกป้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” มิคาสึกิยิ้มมองไปที่โฮเนะบามิ

       “ท่านโนบุนากะ ประวัติศาสตร์หมายถึงผู้คน ข้าอยากปกป้องผู้คนเหล่านั้น”

       โนบุนากะหัวเราะในลำคอ “ข้าเองก็เป็นคน!!”

       “ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงจะปกป้อง…ปกป้องท่านที่จบชีวิตลงที่นี่”

       โนบุนากะขบกรามแน่น มิคาสึกิยังคงพูดต่อ “ท่านที่เคยหัวเราะเยาะใส่ท่านฮิเดโยชิผู้ทรยศ หัวเราะใส่โชคชะตาที่ถูกช่วงชิงไป”

       “………” โนบุนากะนิ่งครุ่นคิด

       “นับเป็นการตายของราชาปีศาจที่น่าสรรเสริญมากทีเดียว……”

       มิคาสึกิหัวเราะ ก่อนหันหลังเดินออกไป โนบุนากะลดดาบลงอย่างยอมแพ้ ก่อนจะยอมปล่อยโฮเนะบามิให้เป็นอิสระ

       “เจ้าไปเถอะ…”

       โฮเนะบามิจ้องมองบุรุษตรงหน้าที่กำลังแสดงสีหน้าเศร้าหม่น ก่อนจะวิ่งตามมิคาสึกิออกไป โนบุนากะมองออกไปนอกหน้าต่าง

       “หึ…..เสียท่ามันซะแล้ว”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       อีกด้านหนึ่ง…

       พวกยามัมบะกิริที่เริ่มอ่อนล้า เนื้อตัวสะบักสะบอมเต็มไปด้วยบาดแผลยังคงต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาที่ทยอยจู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยะเก็นรับมือต่อสู้กับมุเมย์อย่างสูสี ในขณะที่ฮาเซเบะพลาดท่าโดนคมดาบของศัตรูฟันเข้าที่สีข้าง เลือดสีแดงไหลย้อมเสื้อสีขาวด้านใน ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเจ้าตัวทรุดคุกเข่าลง

       “ฮาเซเบะ!!!” ยามัมบะกิริพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ด้วยสภาพของตัวเองตอนนี้ที่สะบักสะบอม และเต็มไปด้วยบาดแผลไม่ต่างอะไรจากฮาเซเบะทำให้ต้องทรุดคุกเข่าลงเพราะความเจ็บปวดอีกคน แต่เจ้าตัวก็กัดฟันลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วยเเรงทั้งหมดที่มี 

      ทว่าเหมือนเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงอีก เมื่อมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมาพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง ดาบจำนวนนับร้อยร่วงปักลงพื้นก่อนกลายร่างเป็นกองทัพข้ามเวลาฝูงใหญ่ พวกมันพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาทันที ทุกคนกระชับดาบในมือแน่นเตรียมใจที่จะต่อสู้แลกชีวิตกับศัตรู แต่ทันใดนั้นเอง…ร่างของใครคนหนึ่งได้ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ร่างนั้นตวัดดาบอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกิดเป็นแสงรูปร่างจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้ากวาดกองทัพข้ามเวลานับสิบกลายเป็นฝุ่นผงสลายไป

       “มิคาสึกิ!”

       “ทุกคน ขอโทษด้วยนะ แต่ที่เหลือปู่ผู้นี้จะจัดการเอง รีบกลับฮงมารุไปเถิด”

       “พูดอะไรของนาย” ยามัมบะกิริรีบถาม

       มิคาสึกิหยิบถุงผ้าสีน้ำตาลที่ได้รับจากโฮเนะบามิขึ้นมา ภายในนั้นมีคริสตัลขนาดเล็กอยู่ 5 ชิ้น ทุกคนรีบจับกระเป๋าเสื้อตัวเอง

       “ไม่มี!!” นิฮงโกประหลาดใจเมื่อไม่พบคริสตัลของสำคัญอยู่กับตัว

       “ทำไมถึง….” ยามัมบะกิริมองคริสตัลที่อยู่ในมือมิคาสึกิด้วยความสงสัยอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคริสตัลของทุกคนถึงไปอยู่กับมิคาสึกิได้ จนกระทั่งยะเก็นเหมือนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาหันขวับไปทางโฮเนะบามิผู้เป็นพี่ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อนัก

       “พี่โฮเนะบามิ!!”

       ยามัมบะกิริหันไปมองที่โฮเนะบามิ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าในตอนนั้นที่พวกเขาพักปักหลักกันที่ริมแม่น้ำ เขากับยะเก็นได้ฝากเสื้อเอาไว้กับโฮเนะบามิ แถมเมื่อตอนที่กำลังต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลา อยู่ดีๆโฮเนะบามิก็ทำตัวแปลกๆวิ่งแทรกตรงกลางระหว่างฮาเซเบะกับนิฮงโกแล้วรีบร้อนวิ่งเข้าตัวปราสาทไปตัวคนเดียวอีก โฮเนะบามิคงฉวยขโมยคริสตัลไปในตอนนั้นแล้วนำไปมอบให้มิคาสึกิ

       “อย่าโทษโฮเนะบามิเลย ข้าเป็นคนขอร้องเขาโดยไม่ได้บอกเหตุผลเอง” มิคาสึกิอธิบาย ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อเห็นกองทัพข้ามเวลากำลังเคลื่อนวงล้อมเข้ามา

       “เอาล่ะ ข้าขอฝากฮงมารุและนายท่านด้วย” พูดจบมิคาสึกิก็โยนคริสตัลในมือทั้งหมดขึ้นบนอากาศ ก่อนจะเกิดเป็นกลีบซากุระนับไม่ถ้วนปลิวว่อนเข้าล้อมรอบตัวพวกยามัมบะกิริ

c9072501ad90bd6c6e14f109e381e4a44925e91dr1-1126-480v2_hq

       “ลาก่อน….” 

       “เดี๋ยวก่อน มิคาสึกิ!!” ฮาเซเบะตะโกนลั่น

       มิคาสึกิมองส่งเพื่อนพ้องทั้ง 5 เล่มด้วยรอยยิ้มบางๆ ขณะนั้นเองมุเมย์ก็พุ่งโจมตีเข้ามา มิคาสึกิยกดาบขึ้นป้อง ก่อนที่กองทัพข้ามเวลาฉวยจังหวะนั้นลั่นไกปืน กระสุนพุ่งเข้าที่ไหล่ซ้ายของมิคาสึกิหนึ่งนัด ก่อนที่อีกนัดจะยิงเข้าที่สีข้างจนร่างเซไปตามแรงกระสุน

       “มิคาสึกิ!!!!” ยามัมบะกิริตะโกนลั่น ก่อนที่ภาพของมิคาสึกิจะถูกบดบังด้วยกลีบซากุระนับร้อยนับพัน แล้วหายไป….

       ดาบทั้ง 5 เล่มหายไปแล้ว มิคาสึกิยิ้มบางๆก่อนจะกระชับดาบในมือ แล้วยกดาบขึ้นใส่ศัตรูจำนวนมากที่ค่อยๆล้อมวงเข้ามาใกล้

       “เอาล่ะ….จากนี้ไปปู่คนนี้จะเอาจริงล่ะนะ” 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ยะเก็น ยามัมบะกิริ โฮเนะบามิ ฮาเซเบะ และนิฮงโกกลับมาที่ฮงมารุด้วยสภาพสะบักสะบอม เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติกับสิ่งที่เพิ่งเจอ อุกุยสึมารุก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน

       “ทุกคน มันเริ่มขึ้นแล้วล่ะ”

       “อะไรรึ” ยามัมบะกิริถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

       “ในที่สุดมันก็เริ่มแล้วล่ะ”

       “ก็แล้วมันอะไรเล่า!!” ฮาเซเบะเริ่มหงุดหงิด

       “พิธีเปลี่ยนตัวซานิวะ (審神者の代替わり)!!”

       “!!?!!?!!?!!” ทุกคนช็อคตกใจกับคำตอบของอุกุยสึมารุ เพราะตั้งแต่พวกเขาปรากฎกายขึ้นที่ฮงมารุแห่งนี้ ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการเปลี่ยนตัวซานิวะมาก่อน

       “หมายความว่ายังไง!?” 

       เมื่อพลังของซานิวะที่ทำหน้าที่มาเป็นเวลานานถดถอยลง จะมีการเชื้อเชิญซานิวะคนใหม่ขึ้นมาแทน” อุกุยสึมารุอธิบาย “แต่ปัญหาก็คือ…ในตอนนั้นพลังของฮงมารุจะอ่อนแอลงอย่างมาก ดังนั้นนายท่านกับมิคาสึกิจึงได้พยายามปิดบังมาโดยตลอด เพราะจะให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปไม่ได้”

       “เพราะงั้นก็เลยทำตัวแปลกๆรึ….” ฮาเซเบะกำหมัดแน่น

       “แต่น่าเสียดาย…พวกมันรู้เข้าซะแล้วล่ะ” 

       ทันใดนั้นเอง เกิดเสียงดังเลื่อนลั่นไปทั่วท้องฟ้า ดาบมากมายพุ่งลงปักเขตม่านพลังศักด์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่คุ้มกันฮงมารุเล่มแล้วเล่มเล่าจนบังเกิดเป็นรอยร้าวจำนวนมาก เขตม่านพลังศักด์สิทธิ์เกิดแสงแว่บวาบสีดำสลับแดงอย่างปั่นป่วน

       “อุกุยสึมารุ กองทัพข้ามเวลาล่ะ เขตม่านพลังกำลังจะถูกทำลาย!!” ฟุโดวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

      “มาจริงๆด้วยสินะ…” อุกุยสึมารุมองบนฟ้าอย่างวิตก “เป้าหมายของพวกมันคือที่ฮงมารุมาตั้งแต่แรก เพราะงั้นช่วงหลังๆนี้ก็เลยทำการแทรกแซงทางประวัติศาสตร์ถี่ขึ้น เพื่อตัดทอนจำนวนโทวเคนดันชิที่อยู่ในฮงมารุ แล้วทำให้การป้องกันอ่อนแอลง!!” 

       เสียงคำรามสนั่นบนฟากฟ้าดังขึ้นเรื่อยๆ เขตม่านพลังศักด์สิทธิ์กำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้า ทุกคนกระชับดาบในมือแน่น

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       “เป็นไปตามที่คุณปู่นั่นกังวลจริงๆสินะ!!” 

       อุกุยสึมารุได้ยินนิฮงโกพูดถึงมิคาสึกิ จึงพยายามกวาดตามองหาเจ้าของชื่อนั้น แต่ก็ไม่พบ เขาหันกลับมาถามสมาชิกทัพหน่วยที่ 1 ที่ควรจะกลับมาพร้อมมิคาสึกิด้วยความร้อนใจ

       “แล้วมิคาสึกิล่ะ!! เกิดอะไรขึ้น!?!!!”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ภาพตัดไปที่ปราสาทอาสึจิ มิคาสึกิกำลังสู้กับกองทัพข้ามเวลาอยู่ที่เดิม ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล และเลือดที่ซึมอาบย้อมเสื้อผ้าจนกลายเป็นสีแดง เขากัดฟันต่อสู้กับศัตรูตัวแล้วตัวเล่าจนเริ่มอ่อนล้า มือที่กำด้ามดาบเริ่มอ่อนแรงราวกับจะร่วงหลุดลงจากมือทุกเมื่อ ความเจ็บปวดจากบาดแผลไหลแล่นไปทั่วร่างกาย มิคาสึกิฮึดแรงเฮือกสุดท้ายยกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีของมุเมย์ ทว่า…แม้จะตวัดดาบของอีกฝ่ายออกไปได้ แต่ด้วยความอ่อนล้า และพิษของบาดแผล ทำให้เขาพลาดท่าถูกปลายดาบของอีกฝ่ายเฉียดเข้าที่บ่า

       เลือดสีแดงไหลซึมออกมาไม่หยุด ร่างกายอ่อนล้าลงเต็มที

       “ข้าคง…มาได้แค่นี้สินะ”

       มิคาสึกิหัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ร่างกายเริ่มหนักอึ้งจากพิษบาดแผล ก่อนที่สติจะค่อยๆรางเลือนดับลงไปอย่างช้าๆ…..

       .

       .

       .

       .

       .

       .

       .

       .

       .

       “มาทันเวลาสินะ…”

       เสียงของใครบางคนดังขึ้นในโสตประสาท พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนมีมือหนึ่งคอยพยุงตนเองไว้ไม่ให้ล้มลง มิคาสึกิค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือกลีบดอกซากุระที่ปลิวว่อนไปมา และเฮชิคิริ ฮาเซเบะ ผู้ที่เขาเพิ่งจะส่งกลับไปยังฮงมารุพร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น พอพยายามกวาดตามองไปรอบๆก็พบกับยะเก็น ยามัมบะกิริ นิฮงโก รวมทั้งโฮเนะบามิกำลังยืนล้อมรอบเพื่อปกป้องเขาจากกองทัพข้ามเวลา

vlcsnap-2019-06-22-21h01m23s212 - Copy

       “ดื่มซะ” ยะเก็นยื่นขวดเล็กๆขวดหนึ่งที่มีน้ำยาสีชมพูอยู่ข้างในให้มิคาสึกิ

       “พวกเจ้า…แล้วฮงมารุเล่า…” 

       “สำหรับพวกเรา….ท่านก็เป็นฮงมารุเช่นกันนะคุณปู่” นิฮงโกยิ้มตอบ โทวเคนดันชิทั้งสี่เล่มหันกลับมามองมิคาสึกิด้วยสายตาที่ชวนให้เจ้าตัวอบอุ่นใจยิ่งนัก

       “นอกจากนี้…นี่ก็เป็นคำสั่งของนายท่าน ว่าให้ไปรับมิคาสึกิ…น่ะ” ยามัมบะกิริเสริม

       แววตามิคาสึกิยังคงฉายความลังเล ก่อนที่จะได้ยินเสียงของซานิวะดังขึ้นเข้ามาในโสตประสาท

       —มิคาสึกิ ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่อดีตแต่เพียงเท่านั้น ยังมีสิ่งที่อยากให้พวกเจ้าปกป้องอยู่อีกนะ จากนี้ข้าจะทำการเชื่อมต่อไป…เชื่อมต่อไปถึงประวัติศาตร์ที่เรียกว่าวันพรุ่งนี้ เรายังมีสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จอยู่นะ–

       “นายท่าน….” มิคาสึกิเอ่ยเสียงแผ่วเบา

       “มิคาสึกิ พวกเราเองก็มีสิ่งที่อยากปกป้องเหมือนกับนายเช่นกัน” ฮาเซเบะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

       “หลังจากนี้ก็ช่วยพูดให้มากขึ้นอีกสักนิดเถอะ คนแก่น่ะถนัดคุยเรื่องยาวๆอยู่แล้วนี่” ยามัมบะกิริเสริม

       “อย่างที่นายบอก ตอนนี้ฉันเข้าใจเหตุผลที่ต้องสู้แล้วล่ะ” โฮเนะบามิหันกลับมายิ้มบางๆให้มิคาสึกิ ก่อนจะหันกลับไปตวัดดาบฟันใส่ศัตรู

       มิคาสึกิมองสหายรอบกายที่กำลังต่อสู้ ก่อนหลับตาลง 

       “ข้าเองก็….เริ่มทื่อลงแล้วสินะ” รอยยิ้มบางๆปรากฎขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่มิคาสึกิจะยกน้ำยาที่ได้จากยะเก็นขึ้นดื่ม ฉับพลันทั้งบาดแผล อาการบาดเจ็บ และพลังกายก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ มิคาสึกิกระชับดาบในมือก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

       “เอาล่ะ มาเริ่มกันใหม่”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ในขณะเดียวกัน โนบุนากะกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำในห้องชั้นบนสุดของปราสาท เปลวเพลิงภายในห้องค่อยๆรุนแรงขึ้น เขาจับมีดสั้น ยะเก็น โทชิโร่ แล้วยกขึ้นตรงหน้า

       “……คมดาบของเจ้าจะไม่แทงเข้าร่างกายผู้เป็นนาย…..แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ข้าขอร้องล่ะ ยะเก็น โทชิโร่” สิ้นคำ โนบุนากะยกมีดสั้นขึ้นสูงก่อนจะแทงเข้าสู่ร่างตนในที่สุด…

       เปลวไฟลุกโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น ก่อตัวเป็นกำแพงไฟกลืนกินตัวปราสาทให้หายไปในกองเพลิง พร้อมกับเสียงปะทุที่ดังสนั่นหวั่นไหวทั่วบริเวณ 

       โทวเคนดันชิที่กำลังต่อสู้อยู่ต่างสัมผัสได้ว่าโอดะ โนบุนากะได้ตายลงแล้วตามประวัติศาตร์ ฮาเซเบะทอดมองไปยังชั้นบนสุดของปราสาทด้วยความรู้สึกมากมาย เขาเรียกชื่อโนบุนากะออกมาแผ่วเบา เบาเสียราวกับมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ได้ยิน

       “นี่ก็เป็น…อีกหนึ่งประวัติศาตร์ที่ฉันควรปกป้องงั้นเหรอ” ยะเก็นมองลึกเข้าไปในเปลวเพลิง

       กองทัพข้ามเวลาตัวสุดท้ายถูกกำจัดลง ทุกคนต่างนิ่งเงียบจ้องมองไปยังปราสาทอาสึจิที่บัดนี้ถูกเปลวเพลิงสีส้มเผาผลาญลุกใหม้อย่างรุนแรงราวกับทะเลเพลิง

       “กลับฮงมารุกันเถิด” มิคาสึกิเอ่ย ทุกคนพยักหน้า ก่อนหยิบคริสตัลโยนขึ้นไปบนอากาศ กลีบซากุระปลิวว่อนเข้าห้อมล้อมพวกเขาอย่างเช่นทุกที ก่อนร่างพวกเขาจะหายไป

       แต่ทว่า….

       มีกลีบซากุระบางส่วนลอยเข้าหามุเมย์ที่กำลังหมดสติล้มลงอยูไม่ไกล ก่อนที่ดวงตาของมุเมย์จะส่องแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่สีแดงเหมือนอย่างทุกที กลับเป็นสีทองสุกใส หน้ากากของมุเมย์เริ่มมีรอยร้าว ก่อนที่กลีบซากุระจะเข้ามาห้อมล้อมตัวมุเมย์เอาไว้….

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ตัดภาพมาที่ฮงมารุ หลังจากส่งพวกยามัมบะกลับไปช่วยมิคาสึกิที่ปราสาทอาสึจิ ฮงมารุก็ถูกกองทัพข้ามเวลาทลายเขตม่านพลังบุกเข้ามาข้างในได้สำเร็จ ดาบที่มีกลิ่นไอชั่วร้ายนับร้อยเล่มพุ่งลงปักพื้นดินก่อนกลายเป็นกองทัพข้ามเวลาหลากหลายประเภทเข้าโจมตีฮงมารุ

      “อะไรกัน คนน้อยจนน่าเวทนาเลยนะ” ดาบใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

       อุกุยสึมารุกับฟุโดพยายามต่อสู้ต้านศัตรูอย่างสุดกำลัง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       ทว่าจำนวนของอีกฝ่ายมีมากเกินไปทั้งสองจึงเพลี้ยงพล้ำถูกศัตรูล้อมรอบทุกทิศทาง ตอนที่คิดว่าคงต้านไม่ไหวอีกต่อไปแล้วนั้น จู่ๆกองทัพข้ามเวลาตรงหน้านับสิบตัวก็ร้องลั่นพร้อมกัน แล้วกลายเป็นฝุ่นผงสลายไป

       พวกยามัมบะกิริกลับมาได้ทันเวลาพอดี

       “ขอโทษที่ให้รอ” ยามัมบะกิริเอ่ย 

       “แล้วมิคาสึกิล่ะ?!” อุกุยสึมารุรีบถาม เหล่าดาบที่เพิ่งกลับมาต่างยิ้มเล็กๆ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       อีกด้านหนึ่ง ดาบใหญ่หลุดรอดเข้ามาจนถึงห้องของซานิวะได้สำเร็จ มันจ้องเขม็งไปยังซานิวะที่นั่งสงบนิ่งอยู่ด้านหลังม่านไม้ไผ่ แสงที่เปล่งออกมาจากอัญมณีบนสร้อยคอของซานิวะกำลังส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วห้อง

       “ซานิวะเอ๋ย….ข้าจะไม่ยอมให้พิธีเปลี่ยนตัวสำเร็จ….มันจะต้องสิ้นสุดที่รุ่นของแก…ที่นี่…ตอนนี้!!”

       ดาบใหญ่กระโจนเข้าไปทางม่านไม้ไผ่ด้วยความเร็ว ก่อนวาดดาบลงหวังที่จะสังหารชายชราให้ตายสิ้นในดาบเดียว ทันใดนั้นเสมือนมีแรงมหาศาลเข้ามาปะทะต้านวิถีดาบของมันให้ชะงักลง

       “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะเอาเท้าเปรอะเปื้อนเข้ามาเหยียบย่ำได้” มิคาสึกิกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางเจ้านายตนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแววตากลับฉายความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด “นายท่าน มิคาสึกิ มุเนะจิกะ…กลับมาแล้วล่ะ”

tumblr_pvgb16nni01tftaeoo1_1280

       ซานิวะพยักหน้ายิ้มเบาๆอย่างหมดห่วง ก่อนที่แสงสว่างจากรอบกายจะค่อยๆเปล่งแสงสว่างเจิดจ้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วเลือนหายไปในที่สุด มิคาสึกิหลับตาลงข่มความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ

       “อย่ามาเกะกะ!!” ดาบใหญ่กัดฟันกรอด มันกดดาบลงด้วยแรงที่เยอะขึ้น

       “ข้าบอกว่าที่นี่….เข้าไม่ได้อย่างไรเล่า!!”

       มิคาสึกิออกแรงต้านแล้วตวัดดาบจนดาบใหญ่กระเด็นถอยไป ก่อนจะตวัดดาบด้วยความเร็วและรุนแรงอีกหลายครั้งเกิดเป็นแสงสีเหลืองทองรูปร่างจันทร์เสี้ยวพุ่งเข้าใส่ศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันกระเด็นไปกระแทกหน้าต่างแล้วตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง ก่อนกระโดดตามลงมา

       “มิคาสึกิ!!” ฟุโดตกใจ โทวเคนดันชิคนอื่นๆก็อยู่ตรงนั้นด้วย

       มิคาสึกิจ่อดาบไปที่มัน ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

      “ยอมแพ้ซะ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายฮงมารุแห่งนี้”

       “แก…ไอ้พวกดาบทื่อน่ารำคาญ!!!!!”

       พูดจบมันก็ส่งเสียงคำรามดังลั่นพร้อมกับชูดาบขึ้นฟ้า หมอกไอชั่วร้ายสีดำมืดลอยเข้าสู่ใบดาบ ก่อนแปรเปลี่ยนใบดาบสีเงินให้กลายเป็นสีแดงฉาน 

       “มันมาแล้ว!!” อุกุยสึมารุตะโกน ทุกคนกระชับดาบในมือ

       แต่ทว่ากองทัพข้ามเวลาตนนั้นกลับหยุดชะงักไป เพราะถูกใครบางคนใช้ดาบแทงทะลุร่างมันจากทางด้านหลัง

       “หมอนั่น!!” ยะเก็นตกตะลึงเมื่อพบว่าคนที่โจมตีดาบใหญ่คือมุเมย์นั่นเอง

       “……มุเมย์…..” ดาบใหญ่ร้องคราง

       หน้ากากของมุเมย์เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนจะเปล่งแสงสีทองจ้าแล้วแตกออก เสื้อผ้าสีดำที่ปกปิดร่างกายสลายกลายเป็นฝุ่นผง เผยให้เห็นเจ้าของร่างที่แท้จริง

       เด็กหนุ่มผมสั้นสีดำขลับ แต่งกายด้วยเครื่องแบบตะวันตก ด้านหลังเสื้อปักลวดลายมังกรคุริคาระเหมือนกับลายมังกรคุริคาระที่สลักลงบนใบดาบที่เจ้าตัวกำลังถืออยู่

CCI06019_0013(4)

       “ฉัน….ไม่ใช่มุเมย์….นามของฉันคือ คุริคาระโก(倶利伽羅江)!!!”

       เด็กหนุ่มเล็งไปที่ดวงตาด้านขวาของศัตรูก่อนอาศัยความเร็วแทงเข้าไปจนมันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด 

       “หมอนั่น….ก็เป็นโทวเคนดันชิเหรอ!?” ฮาเซเบะทั้งตกใจทั้งงุนงง

       “หากพูดถึงคุริคาระโก….ดาบของอาเคจิ มิทสึฮิเดะ….” มิคาสึกิเอ่ย ยะเก็นเลยถึงบางอ้อ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เจอมุเมย์ในป่า หมอนั่นถึงได้ปกป้องมิทสึฮิเดะ แล้วพยายามฆ่าโนบุนากะแทน คุริคาระโกน่าจะถูกกองทัพข้ามเวลาควบคุมจิตใจ แต่พอเห็นมิทสึฮิเดะตกอยู่ในอันตรายก็เลยทำให้มีสติกลับมาชั่วขณะ ส่วนที่กลับมาที่ฮงมารุได้ก็น่าจะเป็นเพราะกลีบดอกซากุระของพวกเขาสัมผัสโดนตัวมุเมย์ เลยรู้ว่าเป็นโทวเคนดันชิก็เลยพากลับมาฮงมารุด้วยนั่นเอง

       “บังอาจมาใช้ฉันคนนี้เป็นเครื่องมือได้นะ!!”

       คุริคาระโกตะโกนลั่น พร้อมกับที่มิคาสึกิให้สัญญาณ “ทุกคน เผด็จศึก!!” โทวเคนดันชิทุกเล่มพุ่งเข้าขวางดาบใหญ่พร้อมกัน ก่อนที่มิคาสึกิจะปิดท้าย ตวัดดาบฟาดฟันใส่ดาบใหญ่ขาดเป็นสองท่อนจนมันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะแตกสลายเป็นผุยผงไปในที่สุด

      เมื่อกองทัพข้ามเวลาถูกกำจัดไปได้หมดแล้ว ท้องฟ้าที่มึดครึ้มมาจนถึงเมื่อสักครู่ก็กลับมาสว่างสดใสขึ้นทันตา มิคาสึกิเก็บดาบเข้าฝัก ก่อนจะแหงนมองไปทางห้องของซานิวะที่ตอนนี้ไม่มีเจ้านายคนเดิมของพวกเขาอยู่อีกต่อไปแล้ว…

       บัดนี้ ภายในห้องของซานิวะหลงเหลือเพียงสร้อยคออัญมณีสีชมพูที่มีตราสัญลักษณ์ของซานิวะวางอยู่บนเบาะนั่งเท่านั้น 

       แล้วอัญมณีก็เริ่มส่องแสงอีกครั้ง….

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

       เวลาผ่านไปไม่กี่วันหลังจากถูกกองทัพข้ามเวลาเข้าโจมตี ฮงมารุก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง อีกทั้งเขตม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาเป็นปกติ เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าฮงมารุแห่งนี้ได้มีซานิวะคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากซานิวะคนเก่าแล้ว แต่หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น…ก็มีเพียงมิคาสึกิเท่านั้นที่เคยพบซานิวะคนใหม่ ดังนั้นในวันนี้โทวเคนดันชิทุกเล่มจึงถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ห้องซานิวะเพื่อเข้าพบนายท่านคนใหม่เป็นครั้งแรก

       เมื่อบานประตูเลื่อนค่อยๆเปิดออก ทุกคนจึงทยอยเดินเข้าไปนั่งเป็นแถวต่อกันเป็นระเบียบเรียบร้อย และเนื่องจากหล่าโทวเคนดันชิที่ออกสำรวจต่างก็กลับฮงมารุมากันหมดแล้ว จึงทำให้ห้องโถงที่เคยกว้างขวางดูเล็กลงไปขนัดตา

      “ทุกคนพร้อมนะ” มิคาสึกิเดินเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าม่านไม้ไผ่ ดาบทุกเล่มหยุดการสนทนาลง ก่อนหยิบดาบของตนวางไว้ทางด้านขวามือ

      “อา กลุ่มที่ออกไปสำรวจก็กลับมากันแล้วล่ะ” อุกุยสึมารุตอบ มิคาสึกิพยักหน้าก่อนจะนั่งลง

      “ถ้าเช่นนั้น นายท่าน…”

      ม่านไม้ไผ่ค่อยๆเปิดออก แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา ก่อนเผยให้เห็นเด็กสาวตัวน้อยอายุไม่มากนัก แต่งกายด้วยชุดกิโมโนสีขาว สวมสร้อยคอที่มีอัญมณีสีชมพูสลักตราซานิวะนั่งอยู่ด้านใน

vlcsnap-2019-06-22-21h10m08s98 - Copy

      “ทุกท่าน ผู้ที่ปรากฎ ณ ตรงนี้คือผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นซานิวะของฮงมารุแห่งนี้ เป็นเจ้านายของพวกเรา”

       “โอ้~~~~~~~~” เหล่าโทวเคนดันชิต่างส่งเสียงต้อนรับยินดี ซานิวะตัวน้อยฉีกยิ้มตอบอย่างไร้เดียงสา ก่อนที่มิคาสึกิจะให้สัญญาณให้ทุกคนโค้งคำนับเจ้านายคนใหม่ 

vlcsnap-2019-06-22-21h11m29s158 - Copy

      “นายท่าน พวกเราโทวเคนดันชิทุกๆเล่ม ยินดีถวายชีวิตรับใช้นายท่าน”

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

      หลังจากวันนั้น นอกจากกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำทุกๆวันอย่าง เลี้ยงม้า ซักผ้า ทำครัว ปลูกผัก ออกสำรวจ หรือออกรบแล้ว เหล่าโทวเคนดันชิดูเหมือนจะมีงานเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการเป็นเพื่อนเล่นให้กับซานิวะตัวน้อย 

CCI06019_0013(2)
เสียงเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนานของซานิวะตัวน้อยสร้างสีสันให้ฮงมารุแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้น ซานิวะตัวน้อยวิ่งไล่ตามลูกบอลที่กลิ้งไปทางมิคาสึกิที่กำลังนั่งดื่มชาคอยเฝ้ามองผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเดินเข้ามาคล้องคอขี่หลังมิคาสึกิอย่างออดอ้อน มิคาสึกิจึงวางถ้วยชาแล้วพาเจ้านายตัวน้อยขี่หลังเดินไปในสวน

      กลีบดอกซากุระสีชมพูกลีบหนึ่งพัดปลิวล่องลอยมากับสายลม ซานิวะตัวน้อยยื่นมือออกไปคว้า แต่กลีบซากุระได้ลอดผ่านนิ้วมือน้อยๆไป ก่อนปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า มิคาสึกิมองตามกลีบซากุระนั้น 

Screenshot_1

      “นายท่าน…..มิคาสึกิ มุเนะจิกะ มีสิ่งที่อยากปกป้องเพิ่มขึ้นอีกแล้วล่ะ” เจ้าตัวยิ้มบางๆ “ให้ตายสิ สงสัยข้าคงต้องฝืนสังขารต่อไปอีกสักพักสินะ ฮ่าๆๆๆๆ” 

      เหล่าโทวเคนดันชิเดินมารวมกันที่สวน มองซานิวะตัวน้อยที่กำลังจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม

      มิคาสึกิหัวเราะ

      “ดีจริง ดีจริง” 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

—จบ—

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

   
 ขอให้ภาคใหม่เข้าฉายในไทยด้วยเถ้อ >_<♡

เกี่ยวกับ yukino_yukitty

✿ติ่ง2.5 บล๊อกเวิ่น บล๊อกแปล (แปลบ้างไม่แปลบ้างแล้วแต่อารมณ์)
เรื่องนี้ถูกเขียนใน Uncategorized และติดป้ายกำกับ , คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

ใส่ความเห็น